องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศาลปกครอง รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ต่างเป็นองค์กรอิสระสำคัญ ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ ปี’40เป็นต้นมา
องค์กรอิสระเหล่านี้มีความสำคัญยิ่ง ที่จะตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ จึงจำเป็นต้องมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง สังคมจึงมุ่งหวังให้บุคคลที่เป็นกรรมการองค์กรอิสระเหล่านี้ต้องเป็นคนมักน้อย สันโดษ เที่ยงธรรม กึ่งคนกึ่งพระ (พระสงฆ์ผู้เจริญจริงๆ)
ในหลักการแล้วสังคมจึงช่วยปกป้องให้องค์กรอิสระเหล่านี้ เป็นอิสระจากอำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งรวมถึงความเป็นอิสระทางงบประมาณและระเบียบการใช้จ่ายขององค์กรอิสระเหล่านี้ เพราะเกรงว่าฝ่ายบริหารคือผู้มีอำนาจในรัฐบาล จะใช้อำนาจและบุญคุณในเรื่องการตอบแทนผลประโยชน์
แล้วก็เกิดเหตุจนได้ในอดีตเมื่อ 10 ปีเศษที่ผ่านมาองค์กรอิสระเหล่านี้บางองค์กรกำหนดเพิ่มเงินเดือนของตนให้สูงขึ้น เพราะความอยากได้ที่ไม่สิ้นสุด เขาย่อมเข้าใจประโยชน์ของเขาและคิดเข้าข้างตัวเองในการกำหนดเงินเดือนและผลตอบแทน
ผมเป็นผู้หนึ่งที่ตรวจพบความไม่ชอบมาพากล จึงได้รวบรวมรายชื่อ สส. และ สว. ส่งฟ้องดำเนินคดีถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอาผิดมาแล้ว จนคณะกรรมการ ป.ป.ช. สมัยนั้นต้องหลุดจากตำแหน่งทั้ง 9 คน
ความโลภความผิดพลาดในองค์กรอิสระปัจจุบัน
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ออกระเบียบว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2563 ที่ออกโดยผู้ตรวจการแผ่นดินเอง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ว่าตนเองจะได้รับประโยชน์จากค่าจ่ายในการเดินทางภายในประเทศและต่างประเทศอย่างไร
จึงเข้าทำนองที่ว่า เขากำหนดระเบียบเองก็จะได้รับอัตราค่าใช้จ่ายและกติกาที่ครอบคลุมความพอใจของเขาเอง
จึงเกิดรายการค่าใช้จ่าย เฉพาะที่น่าจะต้องพิจารณาแก้ไขปรับปรุงและอาจมีปัญหาเรียงจากน้อยไปหามากดังนี้
การเดินทางในประเทศ
1.ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง เหมาจ่ายวันละ 800 บาท
(เปรียบเทียบกับ กกต. อัตราเท่ากัน แต่สูงกว่าอัตราของ คตง. 400 บาท)
2.ค่ารับรองให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม (ไม่มีการจำกัดยอดขั้นสูงสุด ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ตรวจการแผ่นดินเองว่าจำเป็นและเหมาะสม
หรือไม่เท่าใด)
3.ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่มในการเดินทาง ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นและความเหมาะสม
(จำเป็นและเหมาะสม ตามดุลยพินิจและประโยชน์ของผู้ตรวจการแผ่นดินเอง)
การเดินทางต่างประเทศ
1.ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง เหมาจ่ายวันละ 3,300 บาท หรือให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงตามหลักฐานการจ่ายเงินและ
ไม่เกินวันละ 4,500 บาท
(เปรียบเทียบกับ คตง. เหมาจ่ายวันละ 100 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ประมาณ 3,100 บาท) เทียบกับ กกต. วันละ 4,000 บาท)
2.ค่าเช่าที่พัก ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม
(ไม่มีขอบเขตขั้นสูงสุด ให้เป็นดุลยพินิจของผู้ได้รับประโยชน์คือตรวจการแผ่นดิน)
3.ค่ารับรองให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริง ตามความจำเป็นและเหมาะสม
(ไม่จำกัดขอบเขตขั้นสูง เป็นไปตามความต้องการของตรวจ ?)
4.ระยะเวลาการออกเดินทางล่วงหน้าก่อนเริ่มปฏิบัติงานและระยะเวลาเดินทางกลับหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน
1) การเดินทางไปประเทศในทวีปเอเชีย ให้มีระยะเวลาก่อนเริ่มปฏิบัติงานไม่เกิน 24 ชั่วโมง และมีระยะเวลาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติงานไม่เกิน 24 ชม.
2) การเดินทางไปประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ประเทศในยุโรปหรือประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ให้มีระยะเวลาก่อนเริ่มปฏิบัติงานไม่เกิน 48 ชั่วโมง และมีระยะเวลาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติงานไม่เกิน 48 ชม.
3) การเดินทางไปประเทศในทวีปอเมริกาใต้หรือประเทศในแอฟริกา ให้มีระยะเวลาก่อนเริ่มปฏิบัติงานไม่เกิน 72 ชั่วโมง และมีระยะเวลาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติงานไม่เกิน 72 ชม.
(การกำหนดเวลาทั้งไปก่อนและกลับหลังเวลาทำงานเช่นนี้ ไม่พบระเบียบขององค์กรอิสระอื่นๆ)
5.ได้ปรากฏระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดิน
ข้อ 8 ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศสำหรับคู่สมรสได้เฉพาะกรณีที่ได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากผู้ตรวจการแผ่นดิน
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคู่สมรส ให้เบิกได้ในอัตราเดียวกับผู้ตรวจการแผ่นดิน
ระเบียบข้อนี้ เป็นข้อที่ได้รับวิพากษ์วิจารณ์และควรจะได้มีการพิจารณา ทบทวน ด้วยเหตุผล
(1) งานของผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นงานที่มีฐานของงานอยู่ในประเทศ ต่างกับงานของเอกอัครราชทูตที่เป็นตัวแทนประเทศไปทำงานและพำนักในต่างประเทศ
(2) ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจมีงาน (ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้) ในการไปศึกษา ดูงาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับต่างประเทศบ้าง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องนำคู่สมรสไปปรากฏตัวหรือแสดงตัวเพื่อผลของการเยือนประเทศ เฉกเช่นประมุขหรือผู้นำสูงสุดของประเทศ
(3) คู่สมรส ไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือสามี ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพราะหากต้องมีผู้ช่วยงานในหน้าที่ ก็ควรจะนำ เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานไปร่วมปฏิบัติงาน
(4) การเดินทางไปต่างประเทศ องค์กรอิสระเหล่านี้มักจะเดินทางโดยอ้างเทียบระดับตำแหน่งประธานกับนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจการแผ่นดินหรือกรรมการองค์กรอิสระเทียบกับรัฐมนตรี
ซึ่งจะเดินทางโดยเครื่องบินชั้น 1 (First class) และมีเบี้ยเลี้ยง ที่พัก และการเดินทางอื่นๆ ในระดับสูง
จึงเป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญ ว่าจะนำคู่สมรสติดตาม ไปด้วยโดยใช้เงินภาษีของประชาชนในอัตราสูงจะเหมาะสมและคุ้มค่าหรือไม่
(5) การเปิดช่องให้นำคู่สมรสติดตามไปด้วย โดยอ้างว่า “เฉพาะกรณีที่ได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากผู้ตรวจการแผ่นดิน” จะถือว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจของเพื่อนร่วมงานในระดับเดียวกัน ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันจะเหมาะสมถูกต้องหรือไม่
กฎเกณฑ์ที่เปิดช่องและมีข้อยกเว้นเช่นนี้ ในการตรวจสอบไม่เคยได้ผลในทางปฏิบัติเพราะต่างมีความเกรงใจ หน้าปะจมูก ผลัดกันเกาหลัง
(6) ไม่พบระเบียบขององค์กรอิสระอื่นที่เปิดช่องให้นำคู่สมรสเดินทางไปทำงานด้วย โดยเบิกค่าใช้จ่ายได้อัตราเดียวกับกรรมการองค์กรอิสระผู้ไปปฏิบัติงาน
เว้นแต่พบระเบียบของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ที่ระบุไว้ในข้อ 10 และ ข้อ 11 ว่า
“ข้อ 10 ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินจะเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศสำหรับคู่สมรสได้ เฉพาะกรณีได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน”
“ข้อ 11 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคู่สมรสตามข้อ 10 ให้เบิกได้เช่นเดียวและในอัตราเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน”
(7) หากพิจารณาระเบียบเดิมของผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2555 ก็ไม่เคยมีการระบุเปิดช่องให้นำคู่สมรสเดินทางไปต่างประเทศและได้รับค่าใช้จ่ายจากเงินภาษีของประชาชนเช่นนี้มาก่อน
จึงสันนิษฐานได้ว่าเมื่อเห็นว่าระเบียบของ คตง. ทำได้ก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระเบียบของผู้ตรวจการแผ่นดินเอง ให้ได้รับประโยชน์บ้าง สะท้อนความอยากมี อยากได้ อยากเอาของผู้กำหนดระเบียบเอง
ไม่ต่างอะไรกับการที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้จะลอกเลียนพฤติกรรม ดังที่ปรากฏในระเบียบการปฏิบัติงาน
เมื่อครั้งที่มีการขึ้นเงินเดือนตนเองขององค์กรอิสระฯเมื่อกว่า 10 ปีมาแล้วก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน
กล่าวคือ จากการสอบสวนของกรรมาธิการศึกษาสอบสวนเรื่องทุจริต วุฒิสภาที่ผมเป็นกรรมาธิการและเป็นผู้ค้นพบว่าในครั้งนั้นต้นเหตุเริ่มจาก ศาลรัฐธรรมนูญ ต่อมาเมื่อองค์กรอิสระฯอื่นเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญทำได้ก็ทำตามกันในภายหลัง
จนกระทั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องรับโทษจากคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นองค์กรแรก ส่วนกรรมการขององค์กรอิสระอื่นๆ เช่น กกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินและศาลรัฐธรรมนูญสมัยนั้นต่างหลุดรอดอาญาแผ่นดิน ด้วยปาฏิหาริย์ของกฎหมายและแก้ไขตกแต่งประกาศและระเบียบของตนเสียใหม่
ทั้งนี้ อยากจะดูว่าสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอื่นเช่น ป.ป.ช. จะนิ่งดูดายหรือไม่
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี