หลังเหตุการณ์สหรัฐลอบสังหารพลเอก กอซิมสุไลมานี ผู้บัญชาการกองทัพกุซ แห่งกองกำลังปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และต่อมาอิหร่านก็ตอบโต้โดยการยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐสองแห่งในอิรัก ซึ่งขณะนี้ความจริงได้เปิดเผยชัดเจนแล้วว่าฐานทัพทั้งสองแห่งนั้นเสียหายยับเยินและมีทหารสหรัฐอย่างน้อยบาดเจ็บทางสมองถึง 70 คน
ในขณะที่ตัวเลขเจ็บตายจริงๆ ยังคงขัดแย้งกันอยู่ เพราะตัวเลขทางอิหร่านและหลายประเทศเป็นอย่างหนึ่ง แต่ที่สหรัฐยอมรับก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ธงสีเลือดที่เป็นสัญญาณแห่งการล้างแค้นให้กับชาฮีดกอซิม สุไลมานี ที่ถูกชักขึ้นเหนือมหาสุเหร่าสำคัญในอิหร่านเป็นครั้งแรกในหลายร้อยปียังคงโบกสะบัดซึ่งเป็นสัญญาณว่าการล้างแค้นจะดำเนินการต่อไป และเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วจึงจะลดธงดังกล่าว
หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์โจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรักอย่างต่อเนื่อง เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เสียหายเล็กน้อยบ้าง มากบ้าง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และเหตุการณ์แบบนั้นก็เป็นที่คาดหมายว่าน่าจะเกิดขึ้นต่อไป แต่สถานการณ์ที่สำคัญอันควรแก่การจับตามองเพราะมีลักษณะต่อเนื่องกับเรื่องนี้ก็มีอยู่หลายเหตุการณ์ ที่สำคัญคือ
ประการแรก ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เริ่มแสดงท่าทีบ้างแล้วว่าสหรัฐอาจต้องถอนทหารออกจากอิรัก ในขณะเดียวกัน ก็ปรากฏข่าวตามมาว่าสหรัฐซึ่งเดิมเคยเป็นหัวหน้าใหญ่ในการระดมประเทศพันธมิตรส่งเรือรบและกำลังเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อดูแลความปลอดภัยของการเดินเรือในอ่าวเปอร์เซียได้ถอนตัวออกจากภารกิจดังกล่าว
และได้มอบหมายให้อังกฤษเป็นหัวหน้าใหญ่ในการประสานกับประเทศพันธมิตรและกองกำลังทั้งหลายของพันธมิตรเพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งอิหร่านก็ได้อ้างสิทธิ์เป็นผู้ดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือเช่นเดียวกัน
เป็นอาการที่ส่อให้เห็นว่าสหรัฐกำลังปรับเปลี่ยนกำลังในพื้นที่ตะวันออกกลางและอ่าวเปอร์เซีย
ประการที่สอง ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นที่ประเทศอัฟกานิสถาน โดยขบวนการตอลิบันซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทุกประเทศที่ยึดครองอัฟกานิสถานรวมทั้งสหรัฐด้วย ได้ประกาศแสดงตนว่าเป็นผู้ยิงถล่มเครื่องบินสอดแนมทันสมัยของสหรัฐตกในอัฟกานิสถาน และหนึ่งในผู้โดยสารในเครื่องบินลำดังกล่าวคือหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ หรือ CIA ของสหรัฐที่ดูแลรับผิดชอบกิจการด้านอิหร่าน รวมทั้งเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ลอบสังหารนายพลกอซิม สุไลมานี ด้วย
เหตุการณ์นี้เป็นที่จับตาทั่วโลกก็เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตอลิบันล่วงรู้กำหนดการเดินทางของหัวหน้าข่าวกรองสำคัญของสหรัฐได้อย่างไร และอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงที่สามารถใช้ยิงเครื่องบินสอดแนมทันสมัยที่สุดของสหรัฐนั้นมาจากไหน และที่สำคัญคือหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับนั้นเสียชีวิตพร้อมกับเครื่องบินที่ตกหรือไม่
เพราะสหรัฐมิได้แสดงท่าทีว่าเสียชีวิตหรือไม่เสียชีวิต ในขณะที่ข่าวคราวก่อนหน้านี้ที่ว่าเสียชีวิตก็จืดจางไป กรณีจึงอาจเป็นไปได้ว่าอาจไม่ถึงขั้นเสียชีวิต และน่าจะถูกจับตัวไปแต่จะไปไหนนั้นข่าวคราวไม่ปรากฏ ซึ่งถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ก็น่าจะมีกรณีอาฟเตอร์ช็อกตามมา
ประการที่สาม จู่ๆ เครื่องบินรุ่นทันสมัยของอิสราเอลตกและนายทหารเสียชีวิตทั้งลำ ซึ่งเป็นที่สังเกตกันว่ากลุ่มใดเป็นผู้ทำให้เครื่องบินตกหรือเครื่องบินประสบอุบัติเหตุตกเอง และมีบุคคลสำคัญโดยสารมาในเครื่องบินดังกล่าวนั้นด้วยหรือไม่ ซึ่งข่าวคราวเรื่องนี้มีความเงียบงันจนน่าสงสัยอย่างยิ่ง
ประการที่สี่ ในขณะที่เชื้อไวรัสระบาดในประเทศจีน และประเทศจีนกำลังรณรงค์เพื่อกำจัดไวรัสดังกล่าวในลักษณะขอบเขตทั่วประเทศนั้น ก็ปรากฏว่าสหรัฐได้เคลื่อนไหวกองกำลังนาวีของกองเรือที่ 7 ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีลักษณะผิดไปจากแต่ก่อน
กองเรือกองแรกเป็นกองเรือขบวนใหญ่ เคลื่อนไปที่ทะเลฟิลิปปินส์ ซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่าในย่านนั้นมีกองเรือของรัสเซียไปป้วนเปี้ยนอยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเส้นทางลำเลียงหรือเส้นทางนาวีสำคัญ คือช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดาร์ และช่องแคบแลมบอร์ก ซึ่งจะเป็นช่องแคบที่เชื่อมโยงแสนยานุภาพของกองเรือที่ 7 กับกองเรือที่ 5 ของสหรัฐ
กองเรือกองที่สองก็เป็นกองเรือขบวนใหญ่ เคลื่อนไปที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นพื้นที่ที่จีนอ้างสิทธิ์และมีความขัดแย้งกันอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งจีนก็ประกาศความพร้อมที่จะปกป้องน่านน้ำของตนถึงขนาดว่าพร้อมจะทำสงครามด้วยซ้ำไป
กองเรือทั้งสองกองนี้ติดอาวุธทันสมัยล่าสุด โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นกองเรือหลวง และมีเครื่องบินทันสมัยใหม่สุด รวมทั้งมีอาวุธเลเซอร์ด้วย
แม้จะเป็นการอ้างเรื่องการซ้อมรบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มีหรือที่จะห้ามผู้คนไม่ให้คาดคิดว่าเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โรคระบาด หรือที่บางกลุ่มบางพวกก็ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเริ่มต้นของสงครามชีวภาพครั้งใหญ่ที่สุดของโลก
ประการที่ห้า หลังเหตุการณ์ลอบสังหารนายพลกอซิม สุไลมานี เกาหลีเหนือเป็นประเทศทั้งตั้งอยู่ในความเงียบสนิท ในขณะที่มีข่าวกระเซ็นกระสายว่าเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์แล้ว แต่ที่สำคัญก็คือการระมัดระวังตัวของประธานาธิบดีคิม จอ งอึล ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ระมัดระวังตัวในการเดินทางขั้นสูงสุดตลอดมา
ดังนั้นเหตุการณ์ลอบสังหารนายพลกอซิมสุไลมานี จึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เกาหลีเหนือตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและระมัดระวังตัวขั้นสูงสุด รวมทั้งการตอบโต้อย่างรุนแรงที่สุดในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อสถานการณ์ของโลกในอนาคตอย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี