คุณเคยตกอยู่ในสภาพต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการรอคอยความช่วยเหลือจากใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้นหรือไม่ หากคุณเคยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คุณจะรู้ซึ้งดีว่าชีวิตของคุณมันจะรันทดหดหู่เพียงใด
ประเทศไทยในระยะประมาณหนึ่งทศวรรษมาแล้วต้องตกอยู่ในสภาวะของผู้ที่ต้องพึ่งพิง จนทำให้ประเทศไทยเกือบจะเป็นประเทศที่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ตัวการสำคัญตัวหนึ่งที่สาธารณชนประจักษ์ดีว่าทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศผู้พึ่งพิงคือรัฐบาลไทย
วันนี้คนไทยที่ยังมีสติ และยังมีปัญญาต้องประจักษ์แล้วว่า การที่ไทยต้องพึ่งพารายได้หลักจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ ทำให้รายได้ของประเทศไทยหดหายไป แล้วก็กำลังจะทำให้เกิดวิกฤติในระบบเศรษฐกิจของไทยตามมาได้ หากรัฐบาลไทยไม่มีปัญญาแก้ปัญหานี้ให้ลุล่วงไปภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
หลายคนยอมรับว่าประเทศไทยมีรายได้สำคัญประการหนึ่งที่มาจากการท่องเที่ยว แต่ในอดีตนั้นรายได้ส่วนใหญ่ของการท่องเที่ยวไทยมาจากนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติจากหลากหลายประเทศ เช่น จาก ยุโรปตะวันตก จากสหรัฐอเมริกา และจากเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น รวมถึงจากตะวันออกกลาง แต่ในระยะประมาณ 10 ปีมานี้ ไม่ทราบว่าทำไมรัฐบาลไทยจึงหันไปให้ความสำคัญกับรายได้จากนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน (หรือที่หลายคนเรียกว่าจีนแผ่นดินใหญ่) อย่างมากมายจนกลายเป็นบ้า
แน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธว่าคนจีนในระยะ 10-15 ปีมานี้เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีฐานะดีพอสมควร และสามารถนำเงินเข้ามาใช้จ่าย (แบบจีนๆ) ในประเทศไทยได้ หลังจากที่รัฐบาลไทยหันไปให้ความสำคัญกับรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนมากจนเกินเหตุ ก็ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ที่เคยไหลเข้าประเทศไทยค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายไทยต้องตกอยู่ในสภาพผู้ที่ต้องพึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าเกือบเต็มรูปแบบ (ขอย้ำว่า เพราะนักท่องเที่ยวอื่นๆ เขาไม่เข้ามาเที่ยวเมืองไทย จะด้วยเหตุผลใดนั้น รัฐบาลที่เป็นพ่อแสนรู้ แม่รู้ดี ต้องตอบปัญหานี้ให้ได้ เพราะรัฐบาลเป็นคนก่อเรื่องไว้)
ขอถามว่า คุณๆ เคยนำไข่ทั้งหมดที่คุณมีไปเก็บไว้ในตะกร้าใบเดียวกันหรือไม่ แล้วถามต่อว่า ในวันที่คุณทำตะกร้าใบที่ใส่ไข่ทั้งหมดไว้ตกจากที่สูงร่วงลงสู่พื้นซีเมนต์ มันเกิดอะไรกับไข่ในตะกร้าใบนั้น แล้วขอถามต่อว่า มันเกิดอะไรกับคุณตามมา
ฉันใดก็ฉันนั้น เรื่องเช่นนี้เปรียบเสมือนการที่รัฐบาลไทยต้องพึ่งพิงรายได้หลักอันเกิดมาจากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ไทยมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดเพราะนักท่องเที่ยวจีนหดหายไปจากไทยมาแล้วเป็นระยะๆ
ผมขอยกตัวอย่างที่เป็นความจริง โดยอ้างอิงจากข่าวต่างๆ ดังนี้ ในยามที่สภาวการณ์บ้านเมืองไทยของเราเกิดความโกลาหลในยามนั้นรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็หดหายไป เช่น ในช่วงที่บ้านเมืองมีการประท้วงโดยกลุ่มต่างๆ แล้วนำไปสู่การปิดถนน แล้วในบางครั้งก็เกิดการเผาบ้านเผาเมือง (แต่เหตุโกลาหลเช่นนี้ทำให้นักท่องเที่ยวจากทุกชาติทุกภาษาหายไปจากไทยอย่างแน่นอน) หรือเมื่อปีที่แล้ว ที่มีเหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่ภูเก็ต เป็นเหตุทำให้นักท่องเที่ยวจีนตายไปหลายสิบคน ก็ทำให้นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมหาศาลหายไปภายในพริบตา (แต่ต้องยอมรับความจริงว่า เหตุเรือล่มทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไปก็จริง แต่มีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทางการจีนไม่พอใจมาก จนเกือบสั่งห้ามนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยก็คือ คำพูดคำจาบางคำจากปากของคนมีอำนาจรัฐบางคนต่อเหตุการณ์เรือล่มในครั้งนั้น) แล้วก็มาล่าสุดคือข่าว ททท. คาด ไวรัสอู่ฮั่นทำนักท่องเที่ยวจีนหดหายราว 2 ล้านคน เป็นต้น
ผู้เขียนเชื่อว่าสำหรับผู้ที่ติดตามอ่านข่าวสาร ประเภทข่าวหนัก (hard news) จากหนังสือพิมพ์รายวันเป็นประจำมาอย่างต่อเนื่องย่อมต้องผ่านตาในข่าวที่รายงานว่า เร่งฟื้นนักท่องเที่ยวจีนปัญหาเร่งด่วนของไทย หรือข่าวโต้เดือดกลางรัฐสภา ประเด็นนักท่องเที่ยวจีนหายไปจากตลาดไทย
ผู้เขียนและคนไทยอื่นๆ มีคำถามที่อยากถามรัฐบาลไทย (ทุกชุด) ที่บ้านักท่องเที่ยวจีนว่า ในสมองของรัฐบาลนั้นไม่เคยรู้บ้างเลยหรือว่าในโลกนี้ยังมีนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ อีกมากมาย แล้วรัฐบาลไทยเคยคิดบ้างไหมว่านักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ที่เขามีปัญญาเที่ยว เขาก็คงอยากจะมาเที่ยวเมืองไทยบ้างไม่มากก็น้อย แล้วยังมีอีกคำถามหนึ่งคือ แล้วรัฐบาลเคยสนอกสนใจนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักๆ จากยุโรปตะวันตกบ้างไหม หรือว่าในสมองของรัฐบาลมีแค่เพียงนักท่องเที่ยวจีน เพราะเห็นว่าเป็นของใกล้มือ
คุณผู้อ่านจำความปัญญาอ่อนของรัฐบาลไทย ในเรื่องการให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่สมดุลกันได้ไหม หากจำไม่ได้ ผู้เขียนขออนุญาตเตือนความจำว่า โปรดกลับไปย้อนพินิจนโยบายที่ไทยให้ VOA หรือ visa on arrival กับนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการที่รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายเปิดช่องทางด่วนพิเศษสำหรับพิธีการตรวจคนเข้าเมืองให้กับนักท่องเที่ยวจีน โดยที่หลายคนรู้กันดีในนาม ช่องทางเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งการเปิดช่องทางพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวจีนนั้น ทำให้เกิดคำถามจากนักท่องเที่ยวยุโรปตะวันตก และนักท่องเที่ยวจากชาติอื่นๆ ว่า ทำไมรัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติเช่นนั้นกับพวกเขาบ้าง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวยุโรปตะวันตกหลายคนเคยให้ความเห็นกับผู้เขียนว่า ทำไมรัฐบาลไทยเลือกปฏิบัติเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตกหลายรายบอกว่าเขาเดินทางมาจากยุโรปตะวันตก กว่าจะมาถึงประเทศไทย เขาต้องใช้เวลาในการเดินทางนานมาก แค่เพียงการนั่งอยู่บนเครื่องบินก็กว่า 10 ชั่วโมงแล้ว รัฐบาลไทยเคยคิดถึงประเด็นนี้บ้างไหม เขามาไกลเขาใช้เวลาเดินทางนาน แล้วทำไมรัฐบาลไทยไม่ favour พวกเขาบ้างผู้เขียนก็ตอบไปทำนองชวนหัวว่า เพราะรัฐบาลของประเทศ youไม่มีช่องทางพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวจากไทยกระมัง เขาก็ตอบกลับทันทีว่า รัฐบาลของเขาและคนของเขาปฏิบัติกับนักท่องเที่ยวทุกคนเสมอเหมือนและเท่าเทียมกัน คือทุกคนต้องอยู่ในคิวเดียวกัน ยกเว้นผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทูต หรือมีเอกสิทธิ์พิเศษประการอื่นๆ เท่านั้น
ผู้เขียนขอกลับเข้าประเด็น เพราะพึ่งพิงรายได้ของประเทศไทยไว้กับนักท่องเที่ยวจีนเพียงอย่างเดียว ผลจึงเป็นเช่นนี้แล ก่อนที่พื้นที่สำหรับการชวนคุณคิดในวันนี้จะหมดลงผู้เขียนขอวิจารณ์รัฐบาลว่า หากรัฐบาลไทยยังไร้ปัญญาแล้วยังให้ความสำคัญกับตลาดจีนหรือตลาดใดตลาดหนึ่งมากจนเกินไปเช่นที่กำลังเป็นอยู่ ไทยก็จะต้องกลายเป็นผู้พึ่งพิงไปตลอดกาลขอยกตัวอย่างชัดๆ เพื่อถามรัฐบาลไทยว่า ทำไมไม่มองหาตลาดอื่นบ้างทำไมต้องเปิดสำนักงานการท่องเที่ยวในจีนมากมายถึง 5 แห่ง (แน่นอนว่าเพราะจีนมีขนาดใหญ่ แต่ก็ต้องถามว่าแล้วทำไมต้องเปิดสำนักงานสาขาถึง 5 แห่ง) ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วพบว่ามีมากที่สุด เมื่อรายได้ของไทยต้องผูกไว้กับนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ (สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนเทียบกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ สูงถึงร้อยละ 30) ครั้นเมื่อเกิดเหตุเภทภัยใดๆกับประเทศจีน หรือกับนักท่องเที่ยวจีน ก็ย่อมทำให้รายได้ของไทยหายวับไปในพริบตา ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากเอาไข่ทั้งหมดไปไว้ในตะกร้าใบเดียว ซึ่งเรื่องไร้สติเช่นนี้จะไม่มีวันบังเกิดกับคนผู้มีปัญญาอย่างแน่นอน
หากรัฐบาลไทยยังคงต้องพึ่งพิงรายได้หลักจากนักท่องเที่ยวจีน ก็หมายความว่าเสถียภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจะลดน้อยจนอาจจะกลายเป็นศูนย์ และยากที่จะหาเสถียรภาพได้ เพราะถ้าหากเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆในประเทศจีน ไม่ว่าจะประเด็นเศรษฐกิจ ประเด็นการเมือง และประเด็นสังคมขึ้นมาแล้วรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยและอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยก็จะไม่มีวันมั่นคงอย่างเด็ดขาด
ผู้เขียนขอถามกลับไปยังรัฐบาลไทยว่า ที่ผ่านมาหลายทศวรรษนั้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรวมถึงรัฐบาลไทยเคยทำการตลาดแบบผสมผสาน (mixed market) มีการถ่วงดุลนักท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดเสถียรภาพต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมิใช่หรือ แล้วด้วยเหตุผลใดจึงให้รัฐบาลไทยในระยะหลังๆ จึงเกิดอาการของผู้พึ่งพิงตลาดนักท่องเที่ยวจีนมากเสียจนราวกับคนไร้สติ ลืมไปหรือไรว่า หลักการตลาดที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยึดถือมาโดยตลอดคือหลักสร้างความสมดุลในกลุ่มนักท่องเที่ยว หรือว่ารัฐบาลไทยหิวกระหายเงินเสียจนสติหลุด ลืมหลักการที่ควรจะต้องกระทำ แล้วเห็นเงาโตกว่าภาพจริง
ขอทิ้งท้ายเตือนสติรัฐบาลว่า ในยามนี้กำลังเกิดวิกฤติรายได้ของประเทศ และการจะข้ามพ้นวิกฤติไปได้ต้องใช้ปัญญาและขอบอกว่าปัญญาดั้งเดิมของไทยนั้นมีอยู่ จึงอยากบอกให้รัฐบาลตั้งสติให้ดี แล้วเร่งทบทวนการกระทำของตนเองโดยด่วนก่อนที่รัฐบาลจะพัง ก่อนที่ประเทศจะพินาศ ยกเว้นเสียแต่ว่า รัฐบาลต้องการจะทำให้ประเทศพังพินาศไปด้วย หลังจากที่รัฐบาลพังพินาศไปแล้ว จะอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลคงไม่ตั้งใจพาประเทศไปพบกับความพินาศ แม้ตัวรัฐบาลจะพินาศไปแล้วก็ตามที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี