7 ก.พ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีวาระพิจารณาวินิจฉัย พร้อมนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ กรณีคำร้อง ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สังกัดรัฐบาล 90 คน กรณีการเสียบบัตรลงคะแนนแทน นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทยนางสาวภริม พูลเจริญ สส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐและนายสมบูรณ์ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นผลเนื่องจากมี สส.เสียบบัตรแทนกัน และมีการเสียบบัตรค้างไว้ในเครื่องลงมติอัตโนมัติ ในระหว่างลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วาระ 2 และ 3 โดยคำร้องหลักมาจาก สส.รัฐบาล 90 คน นำโดย วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใน 3 ประเด็น ดังนี้
1.กระบวนการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ขัดหรือแย้งกับหลักการการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 120 หรือไม่
2.หากมีปัญหา จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ตกไปทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตราที่มีปัญหา และกรณีนี้จะถือว่าสภาพิจารณาร่างกฎหมายนี้ไม่เสร็จภายใน 105 วัน ตามมาตรา 143 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญหรือไม่
3.จะดำเนินการในแต่ละกรณีต่อไปอย่างไร
โดยการใช้อำนาจตามข้อบังคับการประชุมสภา พ.ศ. 2562 ข้อ 139 ที่เปิดทางให้สมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสองสภา หรือ 75 จาก 750 คน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นร่างกฎหมายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ภายใน 3 วันหลังวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ
ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คดีนี้ไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ และไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญาหรือทางจริยธรรมของ สส.คนใด คงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น ส่วนบุคคลใดจะต้องรับโทษอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
“ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก” วินิจฉัยว่า การกระทำโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น สส. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 114 ทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรคสาม และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 80 วรรคสาม
ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2563 เวลา 19.30 น. ถึงวันที่ 11 ม.ค. 2563 ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ปรากฏการแสดงตนและลงมติของนายฉลองทั้งที่นายฉลองรับเองว่าตนไม่อยู่ในที่ประชุมตามวันและเวลาดังกล่าว การที่ สส.มิได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฏว่ามีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563ในวันและเวลาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ปัญหาว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ตกไปทั้งฉบับตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18 /2556 (กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา สว.) และคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 (กรณีร่างพ.ร.บ.กู้เงิน2.2 ล้านล้านบาท) หรือไม่ เห็นว่าประเด็นข้อวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งคดีและบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวแตกต่างจากประเด็นข้อวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งคดีและบทกฎหมายในคดีนี้อย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ คดีนี้ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับข้อความอันเป็นสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่มีปัญหาที่กระบวนการตราร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น ทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ปรากฏชัดว่า การพิจารณาออกเสียงลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ชั้นรับหลักการและการพิจารณาของกรรมาธิการก่อนเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรียงตามลำดับมาตราในวาระที่ 2 ได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ ถือว่าได้เป็นขั้นตอนที่เสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ก่อนแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศชาติจะต้องได้กฎหมายฉบับนี้ไปช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าและอุปสรรคในการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวนี้มิได้มีอยู่ในอดีต จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป. ดังกล่าว ให้สภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 จากนั้นให้เสนอร่างพ.ร.บ.ที่แก้ไขให้ถูกต้องดังกล่าวให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบเพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป พร้อมทั้งให้สภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการปฏิบัติตามคำบังคับต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย
ส่วนคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสส.จำนวน 78 คน คำร้องดังกล่าวเป็นกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย ยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวกัน โดยอ้างพฤติการณ์ของนางนาที รัชกิจประการ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และ นายโกวิทย์ พวงงาม สส.พรรคพลังท้องถิ่นไท ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 6 ก.พ.นั้น เห็นว่า เหตุแห่งคำร้องดังกล่าวเป็นเหตุเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในคดีนี้แล้วกรณีจึงไม่มีเหตุต้องรับไว้พิจารณาวินิจฉัยให้อีก จึงสั่งไม่รับคำร้อง
โดยรายชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 5 ราย ได้แก่ นุรักษ์ มาประณีต, จรัญ ภักดีธนากุล นายบุญส่ง กุลบุปผา,ปัญญา อุดชาชน และวรวิทย์ กังศศิเทียม เสียงข้างน้อย 4 ราย ได้แก่ ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ชัช ชลวร และอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
สรุปความได้ง่ายๆ ว่า ::
1) การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ วินิจฉัยตามคำร้องแรก ที่ประธานสภาฯ นายชวน หลีกภัย ยื่นต่อศาลอันเป็นการอ้างถึงการเสียบบัตรลงคะแนนแทน นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย นางสาวภริม พูลเจริญ สส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมบูรณ์ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ส่วนคำร้องต่อมา ที่ยื่นผ่านประธานสภาฯของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่เป็นพฤติกรรมของนางนาที รัชกิจประการ กับนายโกวิทย์ พวงงาม นั้น ศาลเห็นว่าเป็น “เหตุเดียวกัน” จึงไม่รับคำร้องนี้
2) ต้องเข้าใจว่า ศาลรัฐธรรมนูญมิได้พิจารณา “ความผิดส่วนบุคคล” ในกรณีนี้ มุ่งพิจารณาสภาพของพระราชบัญญัติงบประมาณ ว่าโมฆะหรือไม่จากกระบวนการที่ไม่สุจริต การไม่รับคำร้องที่สองจึงไม่เป็นเหตุให้ความผิดหรือไม่ผิดเฉพาะตัวของนางนาทีกับนายโกวิทย์หมดไป เพราะพฤติการณ์เป็นพฤติการณ์เดียวกันกับคำร้องแรก คือ มีการแสดงตนและลงคะแนนแทนกัน อันเป็นเหตุกระทบต่อสภาพของพระราชบัญญัติ คำร้องแรกจึงเพียงพอต่อการวินิจฉัยแล้ว และคำร้องนี้ก็เป็นกรณีเดียวกันนั่นเอง
3) ศาลวินิจฉัยว่า กระบวนการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 นี้ ในวาระที่ 1 กระทำถูกต้องแล้ว มาปรากฏการกระทำที่ไม่ถูกต้องในวาระที่ 2 กับ 3 (ซึ่งมีการแสดงตนและลงคะแนนแทนกัน อันเป็นกระบวนการที่ไม่สุจริต และผิดรัฐธรรมนูญ)
4) ศาลอ้างถึง “เหตุจำเป็นเร่งด่วนของประเทศ” และวิธีพิจารณาใหม่ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวนี้ ไม่ได้มีอยู่ในอดีต จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป. ดังกล่าวนี้ กำหนดบังคับให้สภาผู้แทนราษฎร ไปดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3จากนั้นให้เสนอร่างพ.ร.บ.ที่แก้ไขให้ถูกต้องให้วุฒิสภาพิจารณาตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ และให้รายงานกลับมายังศาลด้วยว่า กระทำตามคำสั่งบังคับของศาลครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
5) น่าสนใจตรงที่ ศาลระบุชัดเจนว่า “...คดีนี้ไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ และไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญาหรือทางจริยธรรมของ สส.คนใด...” นั่นแปลว่าคำร้องให้ศาลวินิจฉัย มีแค่เรื่องสถานภาพของกฎหมายเท่านั้น ดังนั้นเรื่องความผิดของตัวบุคคล พึงต้องมีการดำเนินการต่อไป และเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวต้องต้องดำเนินการโดยไม่ชักช้า ประชาชนและสื่อมวลชนพึงติดตามและเร่งรัดให้มีการดำเนินการโดยด่วน
6) ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยปัญหากรณีการเสียบบัตรออกเสียงแทนกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2556 เป็นการวินิจฉัย กรณีการเสียบบัตรออกเสียงแทนกันระหว่างการลงมติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 ประเด็นที่มา สว. โดยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าหนึ่งในประเด็นปัญหาที่ทำให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้นเกิดจากการที่ นริศร ทองธิราช อดีต สส. สกลนคร พรรคเพื่อไทย เสียบบัตรประจำตัว สส. แสดงตนและลงคะแนนแทน สส. คนอื่นระหว่างการลงมติ โดยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เป็นการกระทำที่มีผลให้การลงคะแนนผิดไปจากความเป็นจริงกรณีนี้ย่อมไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ส่วนการวินิจฉัยในแง่ของเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ศาลชี้ว่า แก้ไขที่มาของ สว. ให้มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวอันมีที่มาเหมือนกับ สส. จึงย่อมเป็นเสมือนสภาเดียวกัน ไม่เกิดความแตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันและกันของทั้งสองสภา เป็นการทำลายลักษณะของสาระสำคัญของระบบสองสภาให้สูญสิ้นไป การแก้ไขที่มาและคุณสมบัติของ สว.ให้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองหรือสส.ได้ ย่อมทำให้หลักการตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกันของระบบสองสภาต้องสูญเสียไปอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ฝ่ายการเมืองสามารถควบคุมอำนาจเหนือรัฐสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดปราศจากการตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน อันเป็นการกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ศาลจึงวินิจฉัยโดยมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่าการดำเนินการพิจารณาและลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้องทั้งหมดในคดีนี้เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และวินิจฉัยด้วยมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ว่ามีเนื้อความที่เป็นสาระสำคัญขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อันเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้ถูกร้องได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรค 1 เป็นอันให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นตกไป (ที่มา : เว็บไซต์ประชาไท)
7) อีกกรณีหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2557 เป็นการวินิจฉัย กรณีของการเสียบบัตรออกเสียงแทนกันระหว่างการพิจารณาลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... (พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน) ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 122 และ 126 ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ตราขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนในประเด็นที่สอง ศาลได้วินิจฉัยว่า ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลังและงบประมาณ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลจึงมีคำวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงมีผลให้ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน เป็นอันตกไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154 วรรคสาม (ที่มา : เว็บไซต์ประชาไท)
8) ทั้งสองกรณีในอดีต เหตุที่กฎหมายมีอันต้อง “ตกไป”เพราะ “เนื้อหา” ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้วย จึงต่างกับกรณีนี้
หลังจากนี้ ประธานสภาคงดำเนินการนัดประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อดำเนินการตามคำสั่งบังคับของศาลรัฐธรรมนูญ คือ พิจารณาวาระ 2 และ 3 อีกครั้ง ซึ่งถึงขั้นต้องอภิปรายกันใหม่ ลงมติเรียงมาตรา ในสาระ 2 และให้ความเห็นชอบในวาระ 3 ต่อไปหรือไม่นั้น ก็ต้องตามดูกันต่อไป จากนั้นก็ยื่นให้ สมาชิกวุฒิสภาพิจารณา นำขึ้นทูลเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ และประกาศใช้ต่อไป
ปลดล็อกเรื่องงบประมาณอันเป็น “วิกฤติ” หนึ่งของชาติกันไปได้แล้ว ก็จะตามมาด้วย “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ซึ่งเป็นแค่ “เทศกาลทางการเมือง” วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติจากไวรัสอู่ฮั่น วิกฤติฝุ่นพีเอ็ม 2.5 วิกฤติภัยแล้ง และความเกลียดชังแตกแยกของคนในชาติต่างหาก ที่เป็น “ของจริง” ซึ่งรอการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพอยู่
รอดูว่า หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีการปรับ ครม. เพื่อให้ได้บุคคลที่มีประสิทธิภาพเข้าไปจัดการกับวิกฤติต่างๆ ที่คอยอยู่หรือไม่ หรือเพียงปรับ/ไม่ปรับ เพื่อรองรับแค่วิกฤติความมั่นคงทางการเมืองของ คสช. กลายร่าง เพียงเท่านั้น!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี