l ในยุคของข้อมูลข่าวสาร : “Information isPower” หรือ “สารสนเทศ คือ อำนาจ”
-ปัจจุบันอำนาจ ๑ มาจากพลังความก้าวหน้าแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เข้ามามีบทบาท ในการขับเคลื่อนพัฒนาการทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม
-โลกที่มีความเร็ว (โลกอยู่บนปลายนิ้ว) แต่เต็มไปด้วยความสับสน สลับซับซ้อน วุ่นวาย
-ความขัดแย้งของผู้คน กลุ่มฝ่าย ทั้งในระดับชุมชน ประเทศ และโลกมีมากขึ้น
-คนมีความไม่เท่าเทียมกัน ในด้านการรับรู้การติดตามข่าวสารข้อมูล
-สังคมมีความหลากหลาย มีเรื่องเฉพาะของกลุ่มฝ่าย จึงไม่มีใครที่จะรู้เข้าใ ได้หมดทุกเรื่อง
-คนที่ดูเหมือนฉลาด มีวุฒิฐานะฯ แต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในระบบการเมือง เศรษฐกิจสังคม(เก่ง ชำนาญ ในวิชาชีพของตน แต่ไม่ประสีประสาในเรื่องการเมือง หรือ เรื่องที่ตนไม่มีความถนัด)
-การมีอคติ อวิชชา ความเชื่อ ความรักความหลงความเกลียดความแค้น การเลือกฝ่ายฯ
-ระบบอุปถัมภ์-บริโภคนิยม ระบบราชการ ระบบการเมือง-การศึกษาฯ ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ
-สื่อสารมวลชน สื่อ นายทุนสื่อ คอลัมนิสต์ฯ ขาดจรรยาบรรณ และความรับผิดชอบต่อสังคมฯ
l ข้อมูลข่าวสารฯ จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือ สร้างความเชื่อ การทำลายล้างกันฯ อย่างไม่เคยมีมาก่อนจึงเป็นเรื่องที่ “ผู้รู้ ผู้นำ ประชาชนวงการต่างๆ” ต้องมีหลักคิด ในการตรวจสอบ รับ-ส่ง ข้อมูลข่าวสารฯ
1.สำหรับ “ตัวบุคคล” ควรมีหลักคิดและหลักปฏิบัติ ดังนี้
๑.ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง เคารพความจริง
๒.ต้องมีคุณธรรม จรรยาบรรณ เคารพ ให้เกียรติผู้อื่น มีความรับผิดชอบฯ
๓.ให้ความสำคัญในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร โดยการศึกษา ฝึกฝน และพัฒนาฯ
๔.ต้องเช็คข่าว (ของทุกฝ่ายฯ) ให้แน่ใจ ดูวันที่เดือนปี, ไม่แน่ใจ รอไปก่อน
๕.ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตหลายสิบปีในการทำความเข้าใจ ภาพรวม ภาพเฉพาะฯ
๖.อย่ารีบด่วนสรุปอะไรง่ายๆ เพราะของที่ว่า“ใช่” เมื่อวาน : วันนี้อาจเปลี่ยนไป
๗.ยึด “ผู้ใหญ่ หรือ คนไม่กะล่อน” เป็นแนว
๘.ติดตามข่าวสาร สังเกตคนพูดประจำ ตามติดไปนานๆ จะสามารถจำแนก “ใคร” เป็นคนอย่างไร
๙.หาก เขาว่า “เรา” (ส่วนตัว) ด้วยเรื่องไม่จริง อย่าไปโกรธ แต่ควรสงสาร แนะนำเขาเธอ
๑๐.บางคนแก่แล้ว โกหกมานาน จนเป็นนิสัยถาวร แก้ไม่ได้ : ต้องปล่อยไป ให้เขาเธอ เจอเอง
2.สภาพ สถานการณ์ การเมือง สังคมไทยและโลกไม่เอื้อต่อการเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง (ตามที่ได้กล่าวสรุปมาในตอนต้น > ย้อนกลับไปอ่าน) และการที่ “ผู้นำ” แต่ละฝ่าย แต่ละประเทศ มักทำทุกอย่างผิด ถูก เพื่อหวังชนะ เพราะ “สังคมโลกทั่วไป”มักจะมีข้อสรุป และเชื่อว่า “ผู้ชนะ คือ ฝ่ายถูก” เช่นนักการเมืองไทยบางคน ออกจากพรรคการเมืองที่มีคุณธรรมเพราะมีหลักการที่มีคุณธรรม คือ ไม่ “ซื้อเสียงขายเสียง”และ “ไม่พูดปดมดเท็จฯ” : จึงไม่ประสบความสำเร็จฯ แต่เมื่อใช้ทุนมหาศาล ตั้งพรรคการเมืองใหม่ฯ ที่ไม่ใช้คุณธรรม ก็ได้เป็นนายกฯ ที่ต่อมาติดคุก หนีคดี
-ทัศนคติของคนทั่วโลก ที่มักไม่ศึกษาหาความจริง จะเชื่อข่าว Fake News ถึง 70-80%
l การแก้ไขที่เป็นจริงได้ : สรุปบทเรียน จากความจริงทั่วโลก
-ระบบการเมืองเลือกตั้งไทย ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ระบบทุนสามานย์ฯ ไม่สามารถแก้ไขได้หรือ มีความเป็นไปได้ โดยผู้นำจะต้องมีลักษณะของรัฐบุรุษ กล้าปฏิรูปอย่างเด็ดขาดฯ เพื่ออนาคต
-จะต้องเปลี่ยนระบบใหม่ ใช้อำนาจที่เป็นธรรม ไปปฏิรูปปฏิวัติเปลี่ยนแปลง ระบบ ให้มีคุณธรรมให้ นักการเมือง นักธุรกิจข้าราชการ ทหาร ตำรวจพลเรือน นักวิชาการฯ มีจรรยาบรรณ ความรับผิดชอบและมีบทลงโทษ รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล เป็นธรรม รวดเร็ว ไม่แพงฯ
l 3 วิธีรับมือข่าวปลอม (Fake news)(กันต์ เอี่ยมอินทรา : กรุงเทพธุรกิจ 1 กุมภาพันธ์ 2563)
เมื่อเราอยู่ในประเทศและโลกที่ข้อมูลข่าวสารมันมากมายเหลือคณานับ และโลกออนไลน์มีบทบาทและส่งอิทธิพลอย่างมากในการรับข้อมูลข่าวสาร เราจึงต้องเรียนรู้ ที่จะอยู่ร่วมกับโลกเสมือนแห่งนี้ ที่มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องไม่จริง ประชากรไทย 69 ล้านคน ใช้อินเตอร์เนตกว่า 57 ล้านคน ใช้ Facebook 53 ล้านและไลน์ 44 ล้านคน ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่องทางที่ข่าวปลอมมักจะใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้เสพสื่อคือ 2 ช่องทางนี้ (ในสังคมไทย สื่อใหญ่ เป็นธุรกิจทุนใหญ่เต็มรูปแบบ มักมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทุนสามานย์การเมืองจะเห็นว่า สื่อยักษ์บางฉบับ และสื่อที่เคยดีมาก่อน มักออกข่าวเชียร์นายทุนของเขา และโจมตีรัฐบาลฯ)
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้แนะนำถึงการสังเกตและจับผิดข่าวปลอมเหล่านี้
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอมดังนี้
1.เช็คแหล่งที่มาของข่าว ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ สำนักพิมพ์ ผู้เขียน หรือการอ้างอิงทางวิชาการ(เพราะไม่มีคำว่าบังเอิญในโลกออนไลน์ปัจจุบัน ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดโดยคนหรือหุ่นยนต์ AI)
2.สังเกตและจับผิดเนื้อหาของข่าว ว่าเป็นเนื้อหาซ้ำ ข่าวเก่า ภาพหรือคลิปเดิม หรือตัดแปะจากแหล่งหรือไม่
3.พูดคุยสอบถามผู้รู้
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในสหรัฐพูดถึง“เหยื่อของข่าวปลอม” ที่มักจะเป็น
- ผู้สูงอายุ เด็ก
- หรือผู้มีการศึกษาที่จำกัด และ
- ผู้อ่านทุกคน ที่มีอคติเป็นทุนเดิม ยิ่งถูกโน้มน้าวได้ง่าย
อคตินี้ ทางวิชาการเรียกว่า Confirmationbias ที่มักจะโน้มน้าวผู้มีอคติประเภทเป็นทุนเดิมให้เชื่อในสิ่งที่ตรงกับความคิดหรือความเชื่อดั้งเดิมอยู่แล้วได้ง่าย
การบริโภคข่าวในปัจจุบันจึงต้องใช้สติและปัญญา ไม่เชื่อโดยง่าย แชร์ได้เมื่อมั่นใจ มิเช่นนั้นนอกจากจะตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอมแล้ว ยังทำให้สถานการณ์แย่ลงจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี