กรณี สส.บางคนเสียบบัตรแทน-ลงมติแทน ในการพิจารณากฎหมายงบประมาณ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ผิดอย่างไร จึงให้สภาไปดำเนินการให้ถูกต้อง? แล้ว สส.คนไหนจะต้องถูกดำเนินคดีอาญา ติดคุกตะรางหรือไม่?
(วิเคราะห์จากเอกสารข่าวอย่างเป็นทางการของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่เห็นคำวินิจฉัยฉบับเต็ม)
1. เสียบบัตรแทน ลงมติแทน ผิดอย่างไร?
ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า “การกระทําโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรคสาม และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทําแทนกันมิได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 40 วรรคสาม...”
ให้สังเกตว่า ศาลรัฐธรรมนูญเจตนาใช้คำรัดกุมมาก “การกระทําโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วย”
คือ เจาะจงไปที่การกระทำที่มีการลงมติแทน สส.ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วย
ยังไม่ต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัยว่า ใครเป็นคนกระทำ หรือคนลงมติแทน
นั่นเพราะศาลรัฐธรรมนูญอ้างถึงข้อเท็จจริง กรณีเป็นที่ยุติแล้วโดยไม่มีการโต้แย้งเป็นอื่น คือ กรณี นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สส.พรรคภูมิใจไทย โดยศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า
“...ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 เวลาประมาณ 14.30 นาฬิกา ถึงวันที่ 11 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่สอง และวาระที่สาม ปรากฏการแสดงตนและลงมติของนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่นายฉลองเทอดวีระพงศ์ รับเองว่าตนไม่อยู่ในที่ประชุม ตามวันและเวลาดังกล่าว การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มิได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฏว่า มีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตน และลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ทําให้ผลการลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในวันและเวลาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ…”
ตรงนี้สำคัญ... ศาลรัฐธรรมนูญเจาะจงใช้คำว่า “การออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต” ความหมาย คือ การออกเสียงที่ใช้บัตรของนายฉลองนั่นเอง
ส่วน “ทำให้ผลการลงมติในวันเวลาดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” หมายถึงมติของสภา ในคราวที่พบว่ามีการลงมติแทนกันนั้นเอง
พูดง่ายๆ ว่า คือ เมื่อพบว่ามีการออกเสียงไม่สุจริต แม้จะแค่เสียงเดียว หรือจะกี่เสียง แต่นั่นก็มีผลให้ “มติของที่ประชุมสภา” ในครั้งที่พบว่ามีการกระทำไม่สุจริตนั้นๆ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย
คือ เรียกว่า เสียงของ สส.คนอื่นๆ ที่สุจริต ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
ไม่ได้เสียไปเฉพาะเสียงที่ไม่สุจริตเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “กระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติไม่ถูกต้อง”
ไม่ถูกต้องตรงมติของสภาที่เสียไปจากการลงมติที่ไม่สุจริตนี่เอง
แนวทางวินิจฉัยเช่นนี้ จึงเป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับที่เคยวินิจฉัยกรณีร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญปมที่มา สว. ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
2. ทำไมไม่เป็นอันตกไปทั้งฉบับ เหมือนกรณีร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปมที่มา สว. ในยุคเพื่อไทย ที่มีการลงมติแทนกัน?
ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ให้เห็นว่า กรณีนี้ไม่มีประเด็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อความหรือเนื้อหาสาระของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้แต่อย่างใด
มีประเด็นเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เท่านั้น
ศาลรัฐธรรมนูญได้อธิบายไว้ด้วยว่า “ปัญหาว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตกไปทั้งฉบับ ตาม
คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15 - 18/2556 และคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3 – 4/2557 หรือไม่ เห็นว่า ประเด็นข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดีและบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวแตกต่างจากประเด็นข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดี และบทกฎหมายในคดีนี้อย่างมีนัยสําคัญ กล่าวคือ คดีนี้ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับข้อความอันเป็นสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่มีปัญหาที่กระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เท่านั้น ทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ปรากฏชัดว่าการพิจารณา ออกเสียงลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการ และการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ก่อนเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรียงตามลําดับมาตราในวาระที่สองได้ดําเนินการไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทุกประการ ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่เสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ก่อนแล้ว…”
แนวทางการวินิจฉัยที่ออกมาเช่นนี้ ก็เป็นไปตามที่ “สารส้ม” ได้เคยนำคำวินิจฉัยเรื่องกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท มาวิเคราะห์ให้เห็นไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีความแตกต่างกับกรณีร่างกฎหมายงบประมาณนี้อย่างไรบ้างนั่นเอง
ใครสนใจรายละเอียด กลับไปอ่านเรื่อง “เสียบบัตรแทนกันลงมติ ทำกฎหมายทั้งฉบับขัดรัฐธรรมนูญ?” ลงวันที่ 24 ม.ค.2563 ในคอลัมน์นี้เอง
3. ใครจะต้องถูกดำเนินคดีอาญา?
ศาลรัฐธรรมนูญได้อธิบายไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า
“...คดีนี้ไม่มีประเด็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อความหรือเนื้อหาสาระของ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แต่อย่างใด ทั้งไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญา หรือทางจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใด คงมีประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เท่านั้น ส่วนบุคคลใดจะต้องรับผิดรับโทษอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปดําเนินการ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป…”
ความหมาย คือ สส.คนใดจะต้องรับผิดทางอาญา ให้เป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบและดำเนินคดีทางอาญาแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ก็เป็นมาตรฐานเดียวกับคดีลงมติแทนกันในกฎหมายเงินกู้2 ล้านล้านบาท นั่นเอง
กรณีนั้น สส.ที่ถูกดำเนินคดีอาญา จะต้องชี้แจง ป.ป.ช. หากถูกชี้มูลความผิดอาญา ป.ป.ช.ก็ส่งอัยการ และส่งฟ้องต่อไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ประการสำคัญ ขณะนี้ มีผู้ยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้วโดยรายชื่อ สส.ที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีเฉพาะนายฉลองเท่านั้น ก็เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.จะต้องไปไต่สวนหาข้อเท็จจริงว่าใครมีการกระทำส่อเจตนาทุจริตต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี