เหตุสลดที่โคราช เป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในหลายมิติ ควรแก่การถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้ ทั้งตำรวจ ทหาร ประชาชน สื่อมวลชน และนายกรัฐมนตรี
สมจิตต์ นวเครือสุนทร โพสต์เฟซบุ๊คไว้น่าสนใจมาก
เรื่อง “...กราดยิงโคราช “ถอดบทเรียน” ไม่พอต้อง “ถอดชนวน” ด้วย...” โดยมีเนื้อหาดังนี้
“...หลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่โคราช หลายฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องถอดบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก โดยมุ่งเน้นไปที่
1.การถอดบทเรียนว่า ถ้ามีเหตุแล้วเจ้าหน้าที่ควรมีความพร้อมเผชิญเหตุ และปฏิบัติการให้ลุล่วง ลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด หรือดูแลให้ไม่เกิดความสูญเสียเลย อย่างไร และความพร้อมของหน่วยงานด้านสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงทีควรเตรียมรับมืออย่างไร
2.ถอดบทเรียนว่า ประชาชนที่ประสบเหตุ ควรปฏิบัติตนอย่างไร เพื่อเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์อันตราย
3.ถอดบทเรียนว่า บทบาทสื่อมวลชน ในภาวะวิกฤติ และสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างไร เพื่อไม่ให้กลายเป็น การซ้ำเติมปัญหา และควรเพิ่มบทบาทในการเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ เป็นสื่อกลางช่วยส่งผ่านข้อมูลที่จำเป็นให้ประชาชนและจากประชาชนถึงเจ้าหน้าที่อย่างไร
4.ถอดบทเรียนว่า วุฒิภาวะผู้นำ และการสื่อสารของผู้นำในภาวะวิกฤติ ควรมีสำนึก กาลเทศะ ก่อน
แสดงกิริยาท่าทางและคำพูดออกไปอย่างไร
ฯลฯ
โดยมีคนจำนวนไม่น้อย ออกมาเรียกร้องว่า อย่าไปแตะสาเหตุที่ทำให้คนร้าย ก่อคดีสะเทือนขวัญ เพราะจะกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้คนร้าย ซึ่งโดย
ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะหากเราต้องการหยุดยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก สิ่งที่ต้องทำนอกจากการถอด
บทเรียน คือ การถอดชนวนปัญหา
กรณีที่เกิดขึ้น กองทัพบกต้องไปสะสาง และให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับประชาชน ใน 3 ประเด็นหลักดังนี้
1) กรณีที่เกิดขึ้น มีการใช้อำนาจผู้บังคับบัญชา แสวงหาประโยชน์จากผู้ใต้บังคับบัญชาจริงหรือไม่ และเมื่อมีการแสวงหาประโยชน์แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชา มีหนทางในการ ทวงถามความเป็นธรรมให้กับตัวเองได้อย่างไร ระบบที่มีอยู่เอื้ออำนวยที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคหรือไม่ ถ้าไม่มีจะแก้ไขระบบอย่างไร
2) โครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่อ้างเรื่องสวัสดิการทหารที่นำมาใช้หากิน ในค่ายทหาร เป็นธุรกิจที่เอกชนทำ แล้วใช้ทหารเป็นนายหน้า หรือทหาร ประกอบธุรกิจเอง ระเบียบของกองทัพ มีข้อกำหนดดูแลเรื่องเหล่านี้ หรือไม่ถ้ามีกำหนดไว้อย่างไร และทั่วประเทศมีพฤติกรรมลักษณะนี้มากน้อยแค่ไหน จะมีมาตรการเข้าไปตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างไร
และ 3) จะมีมาตรการดูแลคลังอาวุธอย่างรัดกุมมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอย่างไร
จะมีการเพิ่มระบบเตือนภัยยามเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างทันท่วงทีหรือไม่ จะต้องมีการส่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์
เข้ารับการทดสอบสุขภาพจิตอย่างสม่ำเสมอเพื่อคัดกรองคนที่ไม่มีความพร้อมออกจากความเสี่ยงในการใช้อาวุธก่อเหตุหรือไม่ จะตรวจสอบดูแลอาวุธปืนราคาถูกที่
จัดซื้อจากโครงการสวัสดิการทหารอย่างไร
ขอย้ำอีกครั้งว่าการถอดชนวนปัญหาไม่ใช่การสร้างความชอบธรรมให้คนร้าย เพราะเมื่อคนร้ายเลือกที่จะเปลี่ยนสถานะตัวเองจาก ผู้ที่ตกเป็น “เหยื่อ” กลายเป็น “ฆาตกร” ละทิ้งความเป็นมนุษย์แปลงร่างเป็น “ปีศาจอำมหิต” ก่อโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญ มันก็ต้องรับโทษสาสมกับการกระทำของตัวเอง ซึ่งในขณะนี้มันก็ได้รับผลกรรมไปแล้ว
สังคมจึงไม่ควรโฟกัสเฉพาะเรื่อง เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ฟื้นฟูเมืองโคราช ชื่นชมค้นหาฮีโร่ หรือจ่อมจมอยู่กับความเกลียดชังเท่านั้น แต่สังคมไทยต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาด้วย # ถอดชนวนปัญหา # ไม่ใช่การสร้างความชอบธรรมให้คนร้าย
ในเรื่องเดียวกันนี้ เพจ The Reporters รายงานว่า
“...หลังจาก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยถึงสาเหตุและมูลเหตุ ของผู้ก่อเหตุ เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม จากผู้บังคับบัญชาและ
เครือญาติ ที่มีการซื้อขายที่ดิน ผิดสัญญาในเรื่องผลตอบแทน
ซึ่งต้องไปสืบใครเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดแรงจูงใจในการก่อเหตุ
The Reporters พบบ้านหลังที่ ผู้ก่อเหตุ ที่เป็นทหาร
สังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ได้กู้เงิน อทบ.สวัสดิการกองทัพบก โดยใช้บริการของเจ้าของโครงการที่
ทำธุรกิจบ้านจัดสรร ทำการซื้อที่ดินและสร้างบ้านให้
ผู้ก่อเหตุ เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การกู้เงินที่ต้องมีการ
สร้างบ้านจริง
โดยการกู้จะต้องมีผู้บังคับบัญชาช่วยอนุมัติ
ผู้ก่อเหตุจึงได้รับการช่วยเหลือจาก “ผู้พัน” ที่เป็นผู้บังคับบัญชา
ซึ่งเป็นลูกเขยของเจ้าของโครงการ จึงได้รับอนุมัติเงินกู้ 1.5 ล้านบาท โดยจะต้องหักค่าซื้อที่ดินสร้างบ้าน 1.1 ล้านบาท ให้เจ้าของโครงการ
ส่วนผู้กู้ คือ ผู้ก่อเหตุ จะได้ส่วนต่าง 4 แสนบาท ขณะที่เจ้าของธุรกิจจะได้ “เงินทอน” จากการทำธุรกิจบ้านจัดสรรให้ทหารกู้เงินจากสวัสดิการทหารบก หลังละไม่ต่ำกว่า 4 แสนบาท
แหล่งข่าวที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อบอกกับ The
Reporters ว่า “ธุรกิจเงินทอน” จากเงินกู้สวัสดิการ ทบ.
ทำเป็นขบวนการ ซึ่งบ้านของ จ่าผู้ก่อเหตุ พบว่าตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างจากถนนใหญ่ใน ต.โคกกรวด อ.เมือง จ.นครราชสีมา ทางเข้าเป็นทางลูกรัง รายรอบไปด้วยไร่ข้าวโพด
ภายในบ้านเราพบมีเต็นท์ และรองเท้าทหาร มีข้าวของเครื่องใช้บางส่วน ชาวบ้านบริเวณนั้นบอกว่า เคยเห็นผู้ก่อเหตุเคยขับรถยนต์มาที่บ้านหลังนี้...”
ในเรื่องนี้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็ได้กล่าวในการแถลงข่าวไว้ด้วยว่า “สาเหตุที่เป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติในประเด็นการขายที่ดิน โดยเมื่อมีการผิดสัญญาต่อกันจึงเป็นแรงจูงใจให้ก่อเหตุ ซึ่งประเด็นนี้คงจะต้องมีการตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนของผู้บังคับบัญชากันต่อไป
แต่ในช่วงเวลาที่ผู้ก่อเหตุได้สังหารคู่กรณีนั้น เขาคืออาชญากรไปแล้ว ไม่ใช่พลทหารแต่อย่างใด
“โครงการที่ทำในกองทัพบก ทั้งบ้านสวัสดิการ การกู้เงิน และการร่วมมือกับบางหน่วยกับพ่อค้า มีการวิ่งเต้น ผมรู้เรื่องนี้ดี ภายในเดือนก.พ.-เม.ย.นี้ นายพลยันพันเอกไม่มีงานทำแน่ โดยต่อไปนี้กองทัพจะไม่ให้มีผลประโยชน์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน ขอเวลา ไม่ได้เพิ่งทำ สิ่งที่สั่งหลายๆ อย่างภายในวงรอบการย้ายเห็นดีแน่”
ในส่วนของกองทัพ เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่ “เอาจริงเอาจัง” และต้องไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นช้าออกไป เราเห็นการ
ขยับแล้วจาก ผบ.ทบ. ผ่านการ “พูด” ที่เหลือก็เป็นการ “ปฏิบัติ” ซึ่งชายชาติทหารอย่างท่าน คงไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ติดตามแน่ๆ
ก็เหลือแค่ “องค์กรสื่อ” ที่พยายามจะ “ปกครองกันเอง” เสมอมา และ “ไม่เคยปกครองได้” คราวนี้เรามี
กสทช. คอยกำกับดูแลในบางระดับ กสทช. จะขยับและ “เอาจริงเอาจัง” แค่ไหน เพราะสภาพของ กสทช. กับสื่อนั้น
ก็เหมือน “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” จะมีแค่น้ำพริกกกับ
น้ำเงี้ยว แต่ “ไร้น้ำยา” หรือเปล่า ต้องคอยดูกัน
สื่อหลายช่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก็ “หาได้สำนึกไม่”
ยังยืนกรานว่าตนทำตามหน้าที่ ทั้งๆ ที่หลักที่สังคม
เรียกร้อง เป็นเรื่องง่ายๆ แค่ว่า การทำหน้าที่ของสื่อ ต้องไม่รบกวนการทำหน้าที่ของตำรวจทหารและผู้เกี่ยวข้อง ต้องไม่ให้เบาะแสแก่คนร้าย ต้องไม่รุกล้ำการทำหน้าที่ของแพทย์ พยาบาล ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และต้องไม่รายงานในสิ่งที่จะเกิดอันตรายกับประชาชนที่อยู่ในสภาพ “ตัวประกัน” ในเวลานั้น ต้องคอยดูกันว่า ระหว่างสื่อกับกองทัพ ใครจะขยับได้ดี มีประสิทธิภาพ และน่าชื่นชมมากกว่ากัน
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ท่านคงได้เรียนรู้แล้วกระมังว่า “มินิฮาร์ท” ไม่ใช่สัญลักษณ์ ไม่ใช่การสื่อ หรือ “เครื่องมือให้กำลังใจ” ที่เหมาะกับสถานการณ์ที่มีคนตาย มีความโศกเศร้าและสูญเสียอยู่
ในสถานการณ์นี้ เราต่างเรียนรู้ไปด้วยกันได้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี