การทำดีจริงๆ โดยมุ่งหวังให้เกิดความดีต่อส่วนรวม เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดซึ่งสมาชิกทุกคนของสังคมต้องร่วมกันกระทำ แต่การทำแสร้งทำดี หรือทำดีด้วยการสร้างภาพ โดยตั้งใจให้คนอื่นๆ
เข้าใจผิด คิดว่าตนเองทำดี เป็นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีอย่างแท้จริงกับสังคมโดยรวม
เรื่องการทำความดีโดยแท้จริง กับการเสแสร้งทำความดี เป็นเรื่องที่วิญญูชนในสังคมไทยสามารถแยกแยะและสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเอง (แต่ทว่าต้องใช้ปัญญาและข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา) แล้วก็ยังทราบดีด้วยว่าในสังคมไทย ใครบ้างคือคนตั้งใจทำความดีโดยแท้จริง ใครบ้างที่ชอบแสดงตนว่าเป็นคนดี ทั้งๆ
ที่ในความเป็นจริง คนผู้นั้นมิใช่ผู้ทำความดีโดยแท้
แต่ถึงกระนั้น คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังหลงชื่นชม ยกย่องคนที่เสแสร้งทำความดี ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า คนผู้นั้นเป็นผู้สร้างภาพลวงตา เหตุที่ต้องยอมยกย่องคนเสแสร้งทำความดี ก็เพราะผู้เสแสร้งนั้นมีอำนาจรัฐ อำนาจเงิน แต่บางรายก็มีทั้งอำนาจรัฐและอำนาจเงิน ในขณะที่บางรายไม่มีอำนาจทั้งสองโดยเด่นชัดมากนัก แต่พยายามตะกายเข้าสู่วงจรแห่งอำนาจรัฐด้วยกลอุบายที่น่ารังเกียจ เช่น นักวิชาการบางรายที่พยายามดันตัวเข้าไปเป็นที่ปรึกษาผู้มีอำนาจรัฐระดับสูง หรือการที่ข้าราชการบางคนพยายามวิ่งเต้นเพื่อดันตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดวงของผู้มีอำนาจรัฐระดับสูง รวมถึงแก๊งพ่อค้านักธุรกิจระดับกลางที่ทุรนทุรายดันตัวเองเข้าไปอยู่ในวงจรของอำนาจรัฐระดับสูง เป็นต้น
คราวนี้ขอกลับเข้าสู่ประเด็นที่ตั้งเป็นหัวข้อชวนคุณให้ร่วมคิดไปพร้อมๆ กันคือ แล้วในเมื่อเราทราบดีว่าพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง มีเจ้าของพรรคและผู้บริหารพรรคพร้อมใจร่วมกันกระทำความผิด หรือพูดชัด ๆ คือจงใจทำผิดกฎหมาย คำถามคือ เราซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมที่พรรคการเมืองนั้นพยายามจะเข้าไปมีอำนาจรัฐ สมควรจะปล่อยให้พรรคการเมืองนั้นดำรงอยู่ต่อไป หรือว่าควรจะสนับสนุนให้ยุบพรรคการเมืองที่จงใจทำผิดกฎหมาย
ต้องยอมรับว่ามีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นนี้ในสังคมไทย เพราะบางฝ่ายต้องการให้ยุบพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมายแต่บางฝ่ายบอกว่าต้องไม่ยุบพรรคการเมือง แต่ฝ่ายที่คัดค้านการยุบพรรค ไม่ได้พูดถึงพฤติกรรมการทุจริตของพรรค แต่บางคนก็อ้างว่า พรรคไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่พรรคถูกกลั่นแกล้งโดยผู้มีอำนาจรัฐที่เป็นปรปักษ์กับพรรคที่จะถูกยุบ
อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่า สังคมมนุษย์จำเป็นต้องมีกระบวนการลงโทษผู้กระทำความผิดหรือไม่ โดยเฉพาะความผิดที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันด้วยความเป็นธรรมแล้วว่าเป็นความผิดโดยแท้จริง แล้วยังมีคำถามต่อไปว่า หากไม่มีกระบวนการลงโทษผู้กระทำผิด สังคมจะใช้กระบวนการใดที่ป้องปรามและระงับยับยั้งเพื่อทำให้ผู้กระทำผิดไม่กล้าจงใจกระทำผิดอีกต่อไป แล้วจะมีวิธีใดที่ทำให้คนอื่นๆ ในสังคมไม่เอาอย่างผู้กระทำผิด เพราะเห็นว่าเมื่อทำผิดแล้วไม่ต้องได้รับโทษทัณฑ์ประการใด
แน่นอนว่า สมาชิกในสังคมของเราย่อมมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันได้ตลอดเวลา แต่ก็ต้องถามกลับว่า หากมีสมาชิกกลุ่มหนึ่งบอกว่า เรื่องที่ถูกระบุว่าผิดนั้น ไม่นับว่าเป็นเรื่องผิด ทั้งๆ ที่พฤติกรรมนั้นได้ผ่านการพิสูจน์โดยเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมแล้วว่าการกระทำนั้นถือเป็นความผิดโดยแท้จริง โดยฝ่ายที่แสดงพฤติกรรมว่ากระทำความผิดอ้างว่า คนในสังคมมีความเชื่อต่างกัน ดังนั้นใครที่มีความเชื่อแบบไหนก็สามารถทำตามความเชื่อแบบนั้นได้โดยไม่ต้องใส่ใจหรือนำพากับความถูกต้องของส่วนรวม หากเป็นเช่นนี้แล้ว สังคมจะปั่นป่วนโกลาหลเพียงใด
ไม่มีใครปฏิเสธว่า คนที่คิดและเชื่อไม่เหมือนกันย่อมมีสิทธิ์จะอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันอย่างสงบสุขได้ แต่นั้นก็หมายความว่าผู้ที่คิดและเชื่อไม่เหมือนกันจะต้องไม่แสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมาจนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งทนรับไม่ได้ นั่นคือมีสิทธิ์คิดได้ แม้กระทั่งอาจจะคิดทำผิด แต่ก็ต้องไม่แสดงพฤติกรรมแห่งการกระทำผิดออกมาให้สาธารณชนได้รับรู้ เช่น คนบางคนอาจไม่นิยมสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเรื่องนี้คงไม่มีใครห้ามความคิดของคนคนนั้นได้ แต่เมื่อคนผู้นั้นอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แม้เขาจะมีสิทธิ์คิด แต่เขาไม่มีสิทธิ์กระทำเป็นอันขาด (ขอย้ำว่าคิดได้ แต่ต้องคิดในใจของตนเท่านั้น แต่กระทำไม่ได้ แต่หากเขาคิดแล้วมีเสียงดังออกมา จนกลายเป็นการแสดงออกชัดเจนในเชิงพฤติกรรม นั่นก็ไม่ใช่แค่คิดอีกต่อไป ดังนั้นเขาจะอ้างว่ามีสิทธิ์คิดก็คงไม่ได้ เพราะเขาได้แสดงออกมาให้สังคมได้ประจักษ์แล้ว)
สำหรับประเด็นการยุบพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่สังคมไม่จำเป็นต้องกลับมาตั้งคำถามในเรื่องนี้กันอีกต่อไปเพราะในเมื่อมีหลักฐานชัดเจนแน่นหนาเป็นประจักษ์พยานว่า พรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย พรรคการเมืองนั้นก็ต้องถูกยุบด้วยคำสั่งของกฎหมายอย่างแน่นอน ส่วนการที่เจ้าของพรรคการเมืองจะอ้างหรือสร้างเรื่องบอกว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง ก็เป็นสิ่งที่เขาสามารถพูดหรือสร้างเรื่องขึ้นมาได้ แต่ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์บอกว่าเขาไม่ต้องทำตามหลักกฎหมายไทย
เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้จึงเป็นการยืนยันว่า ไม่ผิดกับการที่คนทำผิดกฎหมายจะอ้างว่าคนเราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน และคนที่คิดไม่เหมือนกันย่อมมีสิทธิ์อยู่ร่วมสังคมเดียวกันได้ แต่ก็ต้องยืนยันอย่างหนักแน่นว่า คนที่จงใจกระทำผิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
ขอย้ำว่าการลงโทษคนทำผิดกฎหมายตามหลักกฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ใช่การทำให้คนที่คิดไม่เหมือนกันหายไปจากสังคม ถึงแม้จะต้องตัดสินประหารชีวิต ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งรังแกผู้กระทำผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นขอให้ผู้ที่อ้างว่าคนเราจะมีความเชื่อแบบไหนก็ตาม ก็ย่อมมีสิทธิ์อยู่ร่วมในสังคมได้ โดยไม่มีวันหายไป โปรดให้คำตอบให้ชัดเจนด้วยว่า สรุปแล้วผู้จงใจกระทำผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษหรือไม่ แล้วพรรคการเมืองที่จงใจกระทำผิดกฎหมาย ไม่ต้องถูกลงโทษ ใช่หรือไม่
ดังนั้นการที่คนกลุ่มหนึ่งตั้งใจอ้างว่าไม่ต้องการให้ยุบพรรคการเมืองที่กระทำผิดกฎหมาย เพราะต้องการปกป้องวันนี้ และปกป้องอนาคตของประเทศไทย จึงดูแล้วเป็นการอ้างเพื่อปกป้อง
ผู้จงใจกระทำผิดกฎหมายมากกว่าปกป้องประเทศไทย แล้วยังทำให้เห็นชัดเจนว่า ยังจงใจสนับสนุนให้ผู้ทำผิดสามารถกระทำผิดได้ต่อๆ
ไป แล้วยังดูเสมือนว่าจงใจสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมายตามไปด้วย ซึ่งดูแล้วเท่ากับว่าจงใจทำลายล้างหลักการยุติธรรมของประเทศมากกว่า และโปรดอย่าแกล้งทำเป็นลืมว่า เมื่อทำลายล้างหลักยุติธรรมของประเทศได้แล้ว ก็คือการจงใจทำลายความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศโดยปริยาย
การที่อดีตคนสอนหนังสือรายหนึ่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าการเมืองที่ดี ควรเป็นระบบที่เปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามาต่อสู้แข่งขันกันได้อย่างเสรี เป็นธรรม โดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ส่วนการมุ่งกำจัดกลุ่มการเมืองใดๆ ให้สิ้นซากนั้น มีแต่จะทำให้สังคมตึงเครียด รอวันระเบิด
ต้องยอมรับว่า คำกล่าวข้างต้นเป็นความจริงอย่างที่สุด แต่จะเป็นความจริงได้ก็เฉพาะในบริบทของการให้คนผู้กระทำดี ประพฤติดี ไม่จงใจทำผิดกฎหมายได้ต่อสู้แข่งขันกันอย่างเสรี และเป็นธรรม ส่วนประชาชนที่จะเป็นผู้เลือกหรือผู้ตัดสินว่าจะให้ใครเข้าไปบริหารประเทศก็ต้องเป็นผู้มีสติปัญญา มีความเกรงกลัวและละอายต่อบาป และต้องเป็นผู้ที่ไม่อยู่ภายใต้อาณัติบงการของใคร ประชาชนต้องมีอิสระอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นอิสระทางความคิด และอิสระทางความเป็นอยู่ ต้องไม่เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการรอรับความช่วยเหลือด้านใดๆ จากผู้อื่น แต่ถ้าหากประชาชนของสังคมใดก็ตาม ยังมีสถานะของผู้อยู่ใต้อาณัติของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้ว ประชาชนไม่มีวันจะตัดสินเลือกผู้แทนของตนได้โดยอิสระ ปราศจากสภาวะถูกบังคับอย่างแน่นอน
การที่อดีตคนสอนหนังสือรายหนึ่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวบรัดสรุปว่ามีใครคนใดคนหนึ่งพยายามหยุดยั้งหรือทำลายพรรคอนาคตใหม่ โดยที่ผู้มีอำนาจไม่สนใจถึงราคาที่สังคมไทยจะต้องร่วมกันจ่าย จึงเป็นการกล่าวอ้างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพราะอดีตคนสอนหนังสือรายนั้นคือสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่
การอ้างว่าประชาชนและประเทศไทยบอบช้ำมามากพอแล้ว พอกันทีกับการกดทับเสียงของความเปลี่ยนแปลง อำนาจการตัดสินใจปัจจุบันและอนาคตต้องอยู่ในมือประชาชนอย่างเรา ไม่ใช่อยู่ที่คนเพียงหยิบมือเดียว
คำอ้างนี้ก็ดูเลื่อนลอยมาก ต้องไม่ลืมว่าการที่ประเทศไทยบอบช้ำนั้น สาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมฉ้อฉล ไร้จริยธรรมของผู้มีอำนาจรัฐและนักการเมือง ในหลายครั้งประชาชนคือคนเลือกผู้นำรัฐที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลเข้าไปทำหน้าที่ปกครองประเทศ ดังนั้นประชาชนก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตนเองได้ตัดสินใจเลือกด้วย เพราะฉะนั้นจะอ้างว่าประชาชนเป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว ก็เป็นเรื่องที่ผิดไปจากความเป็นจริง แล้วถ้ายิ่งในยุคนี้ ประชาชนเห็นชัดว่าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งจงใจทำผิดกฎหมาย ประชาชนจะสนับสนุนให้พรรคที่ทำผิดกฎหมายอยู่ได้ต่อไป กระนั้นหรือ การสนับสนุนให้พรรคที่จงใจทำผิดกฎหมายอยู่ต่อไป คือการรักษาประเทศชาติ คือการทำให้ประชาชนมีความสุข กระนั้นหรือ
#สนับสนุนให้ยุบทุกพรรคการเมืองที่จงใจทำผิดกฎหมายเพื่อความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี