รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ได้เตรียมส่งทีมนายทหารระดับสูงกองทัพบกลงพื้นที่ 4 กองทัพภาคไปชี้แจงข้อสั่งการของผบ.ทบ.ในทุกเรื่องที่เคยแถลงข่าวไปก่อนหน้านั้นต่อผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรมทั่วประเทศ ซึ่งจะประเดิมที่แรกในวันที่ 18 ก.พ. ที่สโมสรนายทหารสัญญาบัตร มณฑลทหารบกที่ 26 (มทบ.26) จ.บุรีรัมย์ เพื่อป้องกันความสับสนและทำความเข้าใจร่วมกัน อาทิ เรื่องโครงการสวัสดิการต่างๆรวมทั้งบทบาทของผู้บังคับบัญชา และขอให้ไปเน้นย้ำนายทหารชั้นผู้น้อย ยึดหลักความพอเพียงในการดำรงชีวิต ไม่ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย และเน้นย้ำให้ผู้บังคับบัญชามีความเข้มงวดในการอนุมัติโครงการสวัสดิการต่างๆ โดยเฉพาะการกู้เงินที่ต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ และต้องคำนึงถึงความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย
ทั้งนี้ในวันที่ 17 ก.พ. เวลา 11.00 น. พล.อ.อภิรัชต์ จะเป็นประธานลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ร่วมกับกระทรวงการคลัง ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน เพื่อดำเนินการจัดระเบียบสวัสดิการเชิงพาณิชย์ของกองทัพ โดยจะนำร่องอาคารรับรองสวนสนประดิพัทธ์ อาคาร 1 และอาคาร 2 ก่อน
ซึ่งจะให้โรงแรมดุสิตธานี เข้ามาบริหารจัดการ และเริ่มในเดือนเม.ย.นี้เป็นต้นไป ขณะที่กำลังพลที่ทำงานอยู่ที่อาคารรับรองสวนสนประดิพัทธ์ อาคาร 1 และอาคาร 2 ก็จะต้องกลับไปทำงานยังหน่วยที่ตั้งต้นสังกัดของแต่ละคน
นี่คือส่วนหนึ่งของการเริ่มต้น “ปฏิรูปกองทัพ” ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือ “บิ๊กแดง” ผบ.ทบ. ที่ผู้คนต่างโมทนาสาธุกันเป็นทิวแถว เพราะกองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกนั้นเป็น “แดนสนธยา” มานาน รอ “คนกล้า” มาจัดกวาด “กวาดบ้าน”ให้สะอาดสะอ้าน เพื่อเป็นที่เคารพศรัทธาจากภาคส่วนอื่นๆ
ก็ขนาดเจ้าของฉายา “เห็ดสด” อย่าง นางสดศรี สัตยธรรมอดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยังออกมากล่าวถึงกรณี พล.อ.อภิรัชต์ ประกาศจะแก้ปัญหาที่หมักหมมของกองทัพบกเลย ว่าขอชื่นชม พล.อ.อภิรัชต์ ที่ท่านกำลังดำเนินการสะสางปัญหาที่หมักหมมในกองทัพด้วยความกล้าหาญอย่างที่ไม่เคยมีผู้นำกองทัพท่านใดกระทำมาก่อน และสมควรอย่างยิ่งที่ท่านควรเป็นผู้นำกองทัพบกต่อไป แม้จะครบอายุราชการแล้วก็ตาม โดยท่านอาจทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนในผลงานที่ยิ่งใหญ่ในฐานะผู้นำรัฐบาลคนต่อไปไม่ว่าด้วยวิถีทางใดๆ ก็ตาม
กระนั้นก็ตาม ในบางเรื่อง ท่าน ผบ.ทบ. อย่าได้เคลิ้มตามนางสดศรีเป็นอันขาด ต้องดูพื้นเพด้วยว่า นางสดศรีเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้พรรคการเมืองใด อิงแอบอยู่กับฝ่ายต้านทหารและรัฐประหารมาตั้งนาน มันเกิดผิดสำแดงอะไรลุกขึ้นมาบอกให้อยู่ในราชการต่อไป แม้หมดอายุราชการ อันนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีระเบียบมีกฎหมายรองรับ และเป็นเรื่องที่ “อย่าไปคิด” เลย ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดจะดีกว่า ยิ่งถึงขั้นจะได้เป็น “ผู้นำรัฐบาลคนต่อไปไม่ว่าด้วยวิถีทางใดๆ ก็ตาม” อันนี้ไม่รู้หวังดีประสงค์ร้ายหรือไม่
การจะเป็นผู้นำรัฐบาลของบิ๊กแดงนั้น มิอาจเป็นได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะ ขณะนี้ท่านเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยตำแหน่ง คือเป็นเพราะเป็น ผบ.ทบ. เดี๋ยวพอพ้นจากการเป็น ผบ.ทบ. ก็พ้นจากการเป็น สว. ยกเว้นจะมีการแต่งตั้งเพิ่มเติม ซึ่งก็ต้องไปดูอีกว่าทำได้หรือไม่ เพราะมีบัญชีรายชื่อสำรองของ สว. อยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละ ในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำประเทศ มีนายวิษณุ เครืองาม เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย อะไรๆ ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด ก็เกิดให้เห็นอยู่เนืองๆ ทีนี้ ถ้าท่านเป็น สว.ต่อ ท่านก็หมดสิทธิ์จะเป็นนายกฯ หรือ ผู้นำรัฐบาล” อย่างที่เจ้าของฉายา “เห็ดสด” เธอว่า ส่วนกรณีที่ท่านไม่เป็น สว. ต่อ ก็ต้อง
รอเวลาให้ล่วงไปถึง 2 ปี จึงจะมีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีได้
แต่ก็นั่นแหละ “คุณ “เห็ดสด” เธอว่า “ไม่ว่าด้วยวิถีทางใดๆ”คือยังไง? จะให้บิ๊กแดง “ยึดอำนาจ” รึ? ยึดอำนาจเสร็จก็เข้าทางฝ่ายที่เธอไปทำงานให้ไหมล่ะ ลุกขึ้นมาต้านรัฐประหารกันเอิกเกริกไปทั้งแผ่นดินอีก วนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ไม่จบไม่สิ้น ฉุดบ้านเมืองถอยหลัง สิ้นโอกาสพัฒนา จนประเทศอื่นๆ เขาไปถึงไหนๆ กันแล้ว ดังนั้น หยุดเรื่องการรัฐประหารไว้ในอดีตเถอะ แล้วให้ฝ่ายการเมืองหันมาทำให้สภามันมีมาตรฐานที่ดี ที่เป็นประชาธิปไตย แบบไม่ไร้คุณภาพหรือเลวทรามจนเป็นเหตุให้ประตูสู่การยึดอำนาจมันเกิด
วันนี้บิ๊กแดงเป็น ผบ.ทบ. ทำหน้าที่ ผบ.ทบ.ให้ดี และให้ “พอดี” จะดีกว่า
1) ชำระสะสางคดีทหารก่อเหตุกราดยิงที่โคราชตามขอบเขตแห่งอำนาจของท่าน เพราะอำนาจหลักเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยประเด็นที่ต้องสะสางคือการทุจริต กดขี่ คดโกง แสวงหาประโยชน์จากระบบสวัสดิการกู้เงินไปซื้อบ้านซื้อที่ดิน ขจัดระบบธุรกิจแบบนี้ในกองทัพให้สิ้นซาก แม้จะต้องเจอ “ตอ” บ้าง แต่ในฐานะ ผบ.ทบ. อย่าให้ตอมันใหญ่กว่าได้
2) จัดการกับระบบการรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธให้รัดกุมยิ่งขึ้น รวมถึงความเข้มงวดด้านความปลอดภัยในค่ายทหารซึ่งเป็นที่ตั้งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายแบบนี้มาก่อน จึงผ่อนปรนเรื่องความปลอดภัยมากไป ซึ่งก็พอเข้าใจได้ เพราะมันเป็นพื้นที่ที่คิดว่าไม่มีเหตุตึงเครียดอะไรต้องเฝ้าระวังมากนัก งานนี้ไม่อาจโทษว่าระบบเดิมย่ำแย่ชนิดต้องให้ ผบ.ทบ.ต้องลาออกไป ให้ถือว่าวิกฤติที่เกิดขึ้น มาช่วยเตือนให้ “ปฏิรูป” ระบบรักษาความปลอดภัยในค่ายและในคลังอาวุธอย่างเป็นจริงเป็นจัง และต้องไม่ลืมระบบ “การแจ้งเตือน” ที่ฉับไว รวดเร็วด้วย เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ผู้คนต่อว่ากองทัพหนักมากว่า มีคนปล้นกระสุนออกจากคลังก่อเหตุร้ายฆ่าคนได้เป็นชั่วโมงๆ ตามรายทาง มีการแจ้งเตือนบูรณาการกำลัง ติดตาม สกัด ระงับเหตุจากฝ่ายทหารบ้างไหม
3) ในวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ นอกจาก ผบ.ทบ. จะได้ร่วมลงนามกับกระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ เพื่อจัดการกับระบบหารายได้ของกองทัพ รวมถึงจะชี้แจงผลคืบหน้ารายละเอียดเกี่ยวกับการจัดระเบียบพื้นที่ต่างๆ ของกองทัพบก ตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ยังจะมีการเปิดศูนย์คอลเซ็นเตอร์รับเรื่องร้องเรียนที่กำลังพลได้รับผลกระทบด้วย ในเรื่องนี้ต้องปรับระบบให้ดีๆ ครับ หากต้องการรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพราะระบบการให้แจ้งชื่อ-นามสกุล สังกัด จะปิดโอกาสให้ท่านไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลยหรือได้ข้อมูลน้อยมาก ท่านเติบโตมาในระบบทหาร ท่านต้องรู้สิครับในหมู่ทหารชั้นผู้น้อยนั้น มี “ความกลัว” ฝังหัวอยู่มากแค่ไหน จะให้เขารายงานว่าผู้บังคับบัญชาเลวทรามอย่างไรบ้าง มันไม่ง่ายหรอกครับ
4) เข้าใจว่าท่านต้องการเบาะแสที่มีผู้รับผิดชอบ แต่นั่นเกิดจากการวาง “วิธีคิด” ว่าจะจัดการกับ “ตัวบุคคล” แต่ถ้าท่านตั้งฐานคิดเสียใหม่ ว่าต้องการ “เปลี่ยนแปลงระบบ” ท่านไม่ต้องรู้หรอกครับ ว่าคนให้เบาะแสชื่ออะไร ให้เขาร้องเรียนมา แล้วท่านนั่งดูข้อร้องเรียนทั้งหลายที่จะกองท่วมหัวนั้น ท่านจะได้เห็น “ช่องโหว่” ของระบบ หรือระบบที่มันเอื้อให้คนหาประโยชน์ แล้วท่านไปเปลี่ยนระบบเสีย เพื่อให้อ้ายอีคนไหนก็ตาม ไม่มีโอกาสเอาเปรียบ คดโกง ทำธุรกิจ กดขี่ หักเบี้ยเลี้ยงทหารชั้นผู้น้อย และใช้ความรุนแรงกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งวาจา การลงโทษ และอื่นๆ ทำให้ “ระบบยุติธรรม”และ “ความโปร่งใส” ของกองทัพมันเกิดขึ้น พ่อแม่ทั้งหลายจะได้สบายใจ เมื่อกองทัพเกณฑ์ลูกๆ ของเขาไปฝึกทหาร
5) กรณีที่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม งัดหลักฐานและข้อความจากนายทหารชั้นผู้น้อยรายหนึ่ง ระบุว่าเปิดหลักฐานโครงการบ้านสวัสดิการบ้านทหารชั้นผู้น้อย จ.ลพบุรี นี่เป็นหลักฐานที่มีทั้งเงินทอนและเงินค่าดำเนินการที่มีคนอมไปจากทหารชั้นผู้น้อย ว่า กองทัพบกยินดีรับฟังข้อมูล และหากนายอัจฉริยะส่งเรื่องนี้มา หรือจะเป็นกำลังพลที่ได้รับความเดือดร้อนส่งเรื่องมาที่กองทัพบก ก็จะรับเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ เพราะถือเป็นนโยบายของกองทัพบก และ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ไม่ต้องการให้ใครมาแสวงหาผลประโยชน์ หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับกำลังพลของเรา
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวยังไม่ทราบว่าผู้เดือดร้อนนั้น เคยมีการร้องเรียนผ่านช่องทางปกติไปยังหน่วยต้นสังกัดหรือที่ส่วนกลางกองทัพบกหรือไม่ นอกจากนี้ กองทัพบกมีช่องทางเปิดรับเรื่องร้องเรียนทางเว็บไซต์อยู่แล้ว แต่หากผู้เดือดร้อนไม่เคยร้องเรียนมาและเป็นเรื่องใหม่ อีกทั้งได้ยื่นให้ทางชมรมทนายความฯ หรือนำข้อมูลไปปรากฏทางสื่อสังคมออนไลน์ ขอให้ส่งมาที่กองทัพบก เรายินดีที่จะตรวจสอบให้
อันนี้จงรีบ “เกิดสติ” กันได้แล้วนะครับ ว่าทหารชั้นผู้น้อยเขาไม่รู้สึกปลอดภัยพอที่จะบอกกับกองทัพ เขาจึงต้องบอกกับคนอื่นเพื่อให้คนอื่นมากดดันกองทัพอีกทอดหนึ่ง หยุดงง หยุดเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วลืมตาดูว่า ระบบการบังคับบัญชาที่เป็นอยู่ ทหารชั้นผู้น้อยเขาเชื่อใจหรือ ว่าเมื่อให้ข้อมูลแล้ว ตัวเขาจะอยู่รอดปลอดภัย หรือมีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ ในกองทัพ!
6) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ ยังกล่าวถึงการตรวจเช็คสุขภาพจิตกำลังพล ในการตรวจสุขภาพประจำปี จะมีทีมแพทย์ เป็นผู้ตรวจและให้คำแนะนำ โดยมีการตรวจด้านความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจสายตา เอ็กซเรย์ปอด และการประเมินสภาพจิตใจเบื้องต้น หากผลการตรวจร่างกายพบความเสี่ยงหรือพบว่ามีโรค แพทย์ก็จะแนะนำหรือส่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามขั้นตอนของโรคต่อไป ถ้าพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับด้านจิตใจ ก็จะแนะนำให้กับกำลังพลนั้น ไปตรวจหรือรับการประเมินเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง ด้านความเครียดที่อาจเกิดขึ้น ในขณะปฏิบัติงาน การสังเกตพฤติกรรมโดยผู้ร่วมงานผู้บังคับบัญชา ก็เป็นสิ่งที่หน่วยให้ความสำคัญและดูแลกำลังพลอยู่แล้ว
อันนี้ฟังดูก็ดีแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมไทยหลงทางไปคิดว่าไอ้คนก่อเหตุมันมี “จิตที่ไม่ปกติ” หรือ “เครียด-คลั่ง” เพราะปัญหาสุขภาพจิต ไม่ใช่ครับ มันเจอ “ความอยุติธรรม” ที่ “ไม่มีทางออก” ไปหาจิตแพทย์ก็ช่วยมันไม่ได้ มันถูกกดขี่ครับ ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่ามันมีสิทธิ์หรือถูกแล้วที่มากราดยิงผู้คน ไม่ใช่ครับ แต่ถ้ากองทัพมีระบบที่ “ผู้เดือดร้อน” ที่เป็นทหารชั้นผู้น้อย “พึ่งพาได้”เหตุแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ หรอกครับ เพราะก่อนเข้ารับราชการ มันต้องตรวจทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตอยู่แล้ว อย่าหลงประเด็น ไอ้ที่ทำอยู่แล้ว ตรวจอยู่แล้ว ให้ทำต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วเพียงแต่อย่าเอามากลบลบกับปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้เสมือนว่าไอ้นี่มันป่วย มันไม่ได้ป่วย มันเครียด มันแค้น มันคลั่ง มันสิ้นสุดการยับยั้งชั่งใจแล้ว เสมือนมันเป็น “ลูกระเบิด” ที่ถูกดึงสลักออกแล้วนั่นเอง
7) เรื่องที่ประชิดตัว ผบ.ทบ.ที่สุดเวลานี้ คือ ทหารเกษียณไม่ย้ายออกจากบ้านพักทหาร ในเรื่องนี้ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลเขียนไว้น่าสนใจครับ เขาอ้างถึง พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวว่า ภายหลังจาก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก มีคำสั่งให้นายทหารที่เกษียณอายุราชการย้ายออกจากบ้านพักของหลวงภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อจัดระเบียบบ้านพักสวัสดิการของกองทัพ เพื่อให้ทหารที่ยังอยู่ในราชการได้เข้าพักอาศัย
ปรากฏว่ามีข้อยกเว้น!!!
“ส่วนที่ผู้เกษียณราชการแล้ว เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา(สว.) และองคมนตรี ยังสามารถอาศัยอยู่ได้ตามปกติ เพราะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ” พ.อ.วินธัย กล่าว
นายธีระชัยกล่าวว่า “...ผมตั้งข้อสังเกตว่า ทางราชการจัดให้มีบ้านพักให้แก่ข้าราชการก็เพื่อความสะดวกแก่การโยกย้ายข้ามจังหวัด ดังนั้น กรณีกองทัพบก จึงเป็นบ้านพักเฉพาะในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพบก *ย้ำ ในกองทัพบก
ส่วนผู้ที่เกษียณราชการแล้ว เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา(สว.) และองคมนตรีถ้าหากทางราชการเห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดบ้านพักให้ ก็จะต้องเข้าไปอยู่ในกรอบของตำแหน่งเหล่านั้น ไม่เกี่ยวกับกองทัพบก
ตำแหน่งเหล่านี้ ถ้าหากทางราชการเห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดบ้านพักให้ ก็จะต้องจัดให้แก่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งทุกคน มิใช่เฉพาะแก่นายทหารที่เกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตำแหน่งเหล่านี้ก็มีเงินเดือนสูงอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องอาศัยการอุ้มชูจากเงินภาษีของประชาชนเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ สำหรับนายทหารที่เกษียณอายุราชการ ถึงแม้จะดำรงตำแหน่งอื่น เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา(สว.) และองคมนตรี ก็ไม่เป็นเหตุให้สามารถจะคงแช่พักอาศัยอยู่ในบ้านพักกองทัพบก ซึ่งการแช่พักต่อเนื่องไปดังกล่าว เป็นการแสดงถึงอุปนิสัยเห็นแก่เล็กแก่น้อยเบียดบังทรัพยากรของรัฐไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทั้งสถานที่คนรับใช้ ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่สำคัญคือ เป็นการแสดงตัวอย่างที่ไม่ดีให้ปรากฏแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมทั้งเบียดเบียนสิทธิของผู้ที่ขึ้นมาแทนตำแหน่งอีกด้วย
จึงถึงเวลาที่จะต้องเร่งปฏิรูปกองทัพ แยกสิทธิส่วนตัวออกจากสิทธิส่วนรวม และเรียกศรัทธากลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง และนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ควรจะแสดงบทนำตรงนี้ได้แล้ว”
ยิ่งไปกางดูระเบียบของกรมบัญชีกลาง เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะยิ่งเห็นชัดว่าไม่มีข้อยกเว้นครับ อย่าอ้างเลยครับเรื่องทำคุณประโยชน์แก่ประเทศ ทุกคนล้วนทำประโยชน์กันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย
กล้าๆ หน่อยครับ ลุงๆ ทหารทั้งหลายครับ โดยเฉพาะพวก สว. ที่ คสช. แต่งตั้ง ท่านไม่ได้ก่อคุณูปการอะไรหรอกครับแค่เป็น “หลักประกัน” ให้ คสช. ต่ออำนาจในรูปของรัฐบาลจากการเลือกตั้งต่อไปเท่านั้นเอง หากมีกลุ่มนี้ยังอยู่บ้านหลวงออกมาหาบ้านอยู่เถอะ บัญชีทรัพย์สินแต่ละคน เงินเดือนแต่ละเดือน ยาวไปอีก 5 ปี ซื้อบ้านได้สบายๆ ครับ
นั่นรวมถึงนายกฯ รองนายกฯ และรัฐมนตรี (ถ้ามี)ก็ย้ายออกมาเองเสียเถอะนะ อย่าให้ “บิ๊กแดง” แกต้องลำบากใจเลยครับ แก่ๆ กันแล้ว สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เป็นตัวอย่างเถอะ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี