โค้งสุดท้ายก่อนการตัดสินคดีพรรคอนาคตใหม่กรณีการกู้เงิน 191 ล้านบาท ว่าผิดพ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่? ก็มีกระแสทั้งจากทั้งฝั่งสนับสนุน และฝั่งตรงข้ามที่ต่างมีความเห็นไปคนละทางว่าผิดหรือไม่ผิด แต่ที่น่าสนใจคือการที่เลขาธิการพรรคอย่างนายปิยบุตร ได้ออกมาแถลงปิดคดีก่อนการตัดสินของศาลฯ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยยกเนื้อความในตัวบทกฎหมาย และอธิบายเท้าความถึงข้อหาความผิดที่ถูกหยิบยกขึ้นสู่ชั้นศาลฯ
โดยอธิบายถึงหลักการตามกฎหมายที่บอกว่า เมื่อกฎหมายไม่ได้เขียนห้าม พรรคการเมืองซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล เอกชน ก็สามารถทำได้ การตัดสินเรื่องนี้ ไม่สามารถใช้หลักการเดียวกับภาครัฐได้ที่ว่าไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ และยังกล่าวต่อถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มีการยื่นบัญชีค่าใช้จ่ายให้กับ กกต. ว่าก็มีไม่ต่ำกว่า 20 พรรค ที่มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกับการกู้เงินไม่ว่าจะเป็นการทดรองจ่าย การยืมเงินกรรมการบริหาร ฯลฯ ที่แต่ละพรรคการเมืองระบุในบัญชีค่าใช้จ่าย การอ้างเช่นนี้เท่ากับว่าหากพรรคอนาคตใหม่ผิด พรรคอื่นๆ กว่า 20 พรรค ก็ผิดด้วยใช่หรือไม่? และยังกล่าวไปถึงคู่มือพรรคการเมืองที่จัดทำโดย กกต. ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงการห้ามกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองแต่อย่างใด ซึ่งนั่นหมายความว่าพรรคอนาคตใหม่ย่อมไม่ผิดที่จะกู้เงินมาเพื่อบริหารพรรค? ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรเราก็คงไม่ไปก้าวล่วงศาล หากแต่หลายฝ่ายก็เป็นห่วงวิถีการดำเนินการของนักการเมืองพรรคอนาคตใหม่ ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งหรือสับสนของประชาชนหรือไม่ ตลอดจนจะไปก้าวล่วงอำนาจศาลหรือไม่?
แต่หากย้อนกลับไปถึงต้นเรื่องของคดีการกู้เงิน คนแรกที่ออกมาพูดเรื่องนี้คือหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เองใช่หรือไม่? ที่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างชาติถึงที่มาของพรรคอนาคตใหม่ และได้พูดถึงการที่ตนเองได้ให้พรรคกู้ยืมเงินระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเนื่องจากระดมทุนไม่ทัน? เป็นการเปิดประเด็นโดยตนเอง ด้วยคำพูดตนเอง เพราะการเปิดเรื่องนี้ก็เป็นการเรียกแขกอย่างนายศรีสุวรรณ ให้หยิบยกประเด็นดังกล่าวร้องต่อ กกต. ว่าเพื่อขอให้ตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวผิดกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่?
นอกจากนี้โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยออกมาพูดถึงธุรกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างพรรค และหัวหน้าพรรค โดยมีสัญญากู้ยืมที่ชัดเจนกว่า 200 ล้านบาทคืออะไร? ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนก็แสดงพลังเต็มที่ มีการล่ารายชื่อผู้มีชื่อเสียงกว่า 150 รายชื่อ เพื่อคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเมื่อขยาย 150 รายชื่อ ข้างต้นออกดูก็พบกับเรื่องน่าประหลาดใจตรงที่ว่า มีกว่า 15 รายชื่อ ที่อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่เคยมีการสนับสนุนให้มีการยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่? ซึ่งมีคนตั้งคำถามถึงความเชื่อมโยงของความคิดความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงของกลุ่มคนดังกล่าวกับทั้งสองกรณีว่าเกี่ยวกันหรือไม่?
เมื่อพูดถึงเรื่องของคดีความที่ กกต. ได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าเป็นความผิดตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง(3) ประกอบมาตรา 72 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีพรรคอนาคตใหม่ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การพิจารณาเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับสองส่วนคือ ผิดเรื่องการกู้หรือไม่? จะเป็นหลักการไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ หรือเป็นหลักการไม่ห้ามคือทำได้ ที่ควรยึดถือในการปฏิบัติ เพราะใน พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ไม่ได้ระบุว่าให้กู้เงินได้ ส่วนของปี 2550 ระบุว่าให้กู้ได้
เรื่องนี้สำคัญตรงที่ถ้ายึดหลักการว่าถ้าจะให้ทำได้ต้องเขียนเท่ากับว่าผิดเต็มๆ ใช่หรือไม่? เพราะถ้าให้กู้ได้ต้องเขียนระบุอย่างชัดเจน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่มีการชี้มูลความผิดโดย กกต. อีกเรื่องหนึ่งคือถ้าผิดแล้วจะเข้าข่ายถึงยุบพรรคตามมาตรา 72 หรือไม่? แล้วถ้ายุบแล้วพรรคจะเป็นอย่างไร
คำตัดสินของศาลฯ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งย่อมส่งผลถึงพรรคอนาคตใหม่ อันดับแรก กรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือไม่กี่ปี? ถ้าอนาคตใหม่ ถูกยุบ จะสิ้นสภาพการเป็น สส. ทั้งหมด หรือเพียง สส.บัญชีรายชื่อ ส่วนของระบบแบ่งเขตต้องหาสังกัดพรรคใหม่? ถ้าต้องหาสังกัดพรรคใหม่จะไปจบที่พรรคใด?จะเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย เสรีรวมไทย หรือกระจัดกระจายไปร่วมรัฐบาล กระทั่งจะไปร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ตั้งใหม่ หรือไม่? หรือพรรคอนาคตใหม่เองเตรียมการอะไรสำรองเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องนี้ต้องดูกันต่อไปว่าขุนพลแนวหน้า แนวหลังยังจะเดินทัพพร้อมเพรียงกันไม่แตกแถวหรือไม่?
แต่การเคลื่อนไหวของคนอนาคตใหม่ที่ผ่านมาในระยะหลังก็พบว่าทิศทางที่ต่างไปจากช่วงแรก โดยเฉพาะกรณีสส.บางส่วนที่ออกมาโหวตสวนพรรค จนทำให้เกิดเป็นเรื่องราวต่อมา หรือการดำเนินการในฐานะฝ่ายค้านในสภาร่วมกับพรรคเพื่อไทยก็ดูจะมีทิศทางที่แตกต่างซึ่งไม่ได้ผิดแปลกอะไรแต่อาจทำให้คนมองได้ว่าน้ำหนักของฝ่ายค้านไม่เข้มแข็งไปทางเดียวกันจนอาจทำให้คนสับสน หรือแม้กระทั่งล่าสุดการเคลื่อนไหวของคนอนาคตใหม่เองที่งานเสวนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สส.อนาคตใหม่ อย่างนายคารมก็ได้พูดถึงกรณีโคราชและยกให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ควรเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีความสามารถในการบริหารจัดการปัญหาได้อย่างดีก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงแล้วในการพูดเช่นนี้ในเวลาเช่นนี้คืออะไร เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่?
21 ก.พ. นี้ นอกจากจะเป็นตัวชี้อนาคตของพรรคอนาคตใหม่แล้ว จะเป็นเครื่องชี้ชะตาการเมืองไทยด้วยว่าจะเดินต่อไปทางไหน จะเดินหน้าต่อไปตามระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา หรือจะกลับมาอยู่ในวังวนการเมืองข้างถนนอีกครั้ง?! ยังไม่รวมการออกมาเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯทักษิณ ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้ที่มีข่าวการเลี้ยงรุ่นที่ดูไบ โดยอดีตนายกฯลงทุนเป็นเจ้าภาพเชิญพรรคพวกมาเอง สิ่งที่ปรากฏคือการแชร์ภาพข่าวการเคลื่อนไหวเหล่านี้ในโซเชียล ซึ่งไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการออกมาแสดงตัวครั้งนี้ในช่วงเวลาแบบนี้คืออะไร สิ่งที่สังคมกำลังกังวลก็คือ ความขัดแย้งในบ้านเมืองว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่?
ทั้งที่วันที่ 24 ก.พ.นี้ สภากำลังจะเปิดให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีบางส่วน ซึ่งก็เป็นกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย ที่หลายฝ่ายคาดหวังให้บรรดานักการเมืองเลือกใช้เวทีดังกล่าวทางการเมืองตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่บกพร่องหรือทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน รวมถึงปัญหาการขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ที่หลายพรรคใช้เป็นเครื่องมือเมื่อตอนหาเสียง....
“อันธรรมดาว่าสงคราม จะหมายเอาชนะฝ่ายเดียวไม่ได้ ย่อมแพ้บ้างชนะบ้าง”
โจโฉ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี