ประเทศไทยเคยมีกรณีตัวอย่างของ “การหักดิบกฎหมาย” ได้แก่ คดีซุกหุ้นของนายทักษิณ ชินวัตร
ใครสนใจสามารถไปหาอ่านข้อเขียนของ ดร.คณิต ณ นคร
แต่วันนี้ คดีที่สังคมสนใจ คือ คดีพรรคอนาคตใหม่กู้เงิน 191 ล้านจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค
มีความพยายามกดดันข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญอย่างหนัก
สังคมต้องช่วยกันปกป้องการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญมิให้ซ้ำรอย “การหักดิบกฎหมาย”หรือ “การบิดเบือนกฎหมาย”ตามความต้องการของนักการเมืองนักเคลื่อนไหวที่พยายามแทรกแซงกดดันการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ
1. คดีเงินกู้ 191 ล้าน มีผลออกมาได้ 2 ทาง
ถ้ายกคำร้อง พรรคจะไม่ถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคไม่ถูกลงโทษ
ถ้าวินิจฉัยว่าผิด ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจใช้ดุลพินิจเป็นอื่น นอกจากยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิของคณะกรรมการบริหารพรรค
งานนี้ จะไม่มีแค่เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค แต่ไม่ยุบพรรค
เนื่องจากกฎหมายบังคับศาลรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 92“...เมื่อศาลรัฐธรรมนูญดําเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองกระทําการตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น”
2. ถ้าชี้ว่า ไม่ผิด ต่อไปพรรคการเมืองก็สามารถกู้เงินกันได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องคำนึงถึงเพดานการรับเงินบริจาค ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่กฎหมายพรรคการเมืองล็อกไว้ไม่ให้เกิน 10 ล้านบาทต่อคนต่อปีอีกต่อไป
พรรคไหนจะกู้จากนายทุนพรรค หัวหน้าพรรค กี่ร้อยล้าน กี่พันล้านกี่หมื่นล้าน จะใช้คืนเมื่อไหร่อย่างไร ก็เป็นสิทธิเสรีภาพ ล่อกันได้เต็มที่
แต่ถ้าชี้ว่าผิด พรรคการเมืองอื่นๆ ก็จะต้องถูกบังคับใช้มาตรฐานเดียวกันหมด คือ จะกู้เงินเป็นร้อยล้านแบบเดียวกับพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้เด็ดขาด
3. มีนักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญกฎหมายพรรคการเมือง สรุปเป็นอาหารสมองมาให้ฟังว่า
“1. หลักการของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
1.1 ให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองเป็นสถาบันหลักในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
1.2 ให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนที่ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน
1.3 ให้พรรคการเมืองมีรายได้เพียงพอที่สามารถดำเนินกิจการทางการเมืองตามอุดมการณ์โดยไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของบุคคลหรือคณะบุคคลคณะหนึ่งคณะใด
2. สาระสำคัญว่าด้วยการเงินของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 รายได้ คือ เงิน หรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่พรรคการเมืองได้มา เพื่อใช้ในการดำเนินกิจการทางการเมืองตามอุดมการณ์
2.1 ประเภทรายได้
เพื่อแสดงถึงลักษณะเฉพาะของนิติบุคคลตามกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งจะแตกต่างจากนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 จึงได้กำหนดประเภทรายได้ของพรรคการเมืองเป็นการเฉพาะ แต่เพื่อให้พรรคการเมืองมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำเนินกิจการทางการเมือง จึงได้ขยายฐานรายได้เพิ่มเติมจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 โดยให้พรรคการเมืองมีรายได้เพิ่มเติมจากทุนประเดิม เงินค่าบำรุงพรรคการเมืองซึ่งเรียกเก็บจากสมาชิกพรรคการเมือง และเงินสมทบค่าบำรุงพรรคการเมืองที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดสรรให้ รายได้ของพรรคการเมืองที่ใช้ในการดำเนินกิจการทางการเมือง จึงต้องเป็นรายได้ที่ได้มาจากประเภทรายได้ตามมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560กำหนดไว้ หากมิใช่รายได้ที่กำหนดไว้ตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว แม้จะเป็นเงินที่ชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายอื่น แต่อาจเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
2.2 หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้มาของรายได้
เพื่อเป็นหลักประกันถึงความโปร่งใสของการได้มาซึ่งรายได้ และป้องกันมิให้เกิดการกระทำนิติกรรมเพื่ออำพรางการได้มาซึ่งรายได้ของพรรคการเมือง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้มาของรายได้ทุกประเภท ตามมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ไว้ โดยแต่ละประเภทจะมีหลักเกณฑ์และวิธีการ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ให้แตกต่างกัน เช่น
รายได้จากเงินบริจาคมีเงื่อนไขในการให้พรรคการเมืองไว้มากที่สุด
รายได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมืองมีเงื่อนไขการให้พรรคการเมืองลดหลั่นลงมา
รายได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมืองมิได้กำหนดเงื่อนไขการให้พรรคการเมืองไว้แต่อย่างใด
ดังนั้น การได้มาซึ่งรายได้ของพรรคการเมืองจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 กำหนด
2.3 วงเงินของรายได้
เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของพรรคการเมืองในการดำเนินกิจการทางการเมือง โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน โดยไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของบุคคลหรือคณะบุคคลคณะหนึ่งคณะใด พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 จึงได้กำหนดให้บุคคลจะให้เงินหรือประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดเกิน 10 ล้านบาทต่อพรรคการเมืองต่อปีไม่ได้
ดังนั้น พรรคการเมืองที่หารายได้โดยไม่เป็นไปตามประเภทรายได้หรือรับเงินโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้มาของรายได้หรือวงเงินของรายได้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เงินที่พรรคการเมืองได้รับมาจึงไม่เป็นเงินจากแหล่งรายได้ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 กำหนด”
4. หลักการและแนวทางข้างต้น ย่อมใช้กับทุกพรรคการเมือง ตามกฎหมายพรรคการเมืองฉบับปัจจุบันของราชอาณาจักรไทย (มิใช่ไปอ้างกฎหมายฝรั่งเศส)
บนพื้นฐานข้อเท็จจริง มิใช่การกล่าวอ้าง กล่าวหา หรือคาดเอาลอยๆ ว่าพรรคการเมืองทุกพรรคจะทำไม่โปร่งใสซุกไว้ใต้ก้น เหมือน “หมาหางด้วน” แล้วไล่งับหางตัวอื่น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี