เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น
นี่คือสภาวการณ์ความเสี่ยงของเศรษฐกิจในเวลานี้
ตัวแปรสำคัญที่อยู่เหนือความคาดหมาย คือ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาในต่างประเทศ
เมื่อประเทศไทย เป็นประเทศที่มีอัตราการเปิดประเทศสูงกว่า 60-70% ย่อมจะต้องได้รับผลกระทบโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
กล่าวได้ว่า โควิด-19 (COVID-19) คือ “ปีศาจ” หลอกหลอนเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกครั้งนี้
ความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ที่ตรงไปตรงมา ไม่ใส่สีตีไข่ หรือป้ายสีจนดูเลวร้ายเกินไป และไม่โลกสวยจนชวนให้ชะล่าใจเกินไป ปรากฏอยู่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อต้นเดือน ก.พ.นี้เอง
วันนี้ ขอสรุปบางส่วนจาก “รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(ฉบับย่อ) ครั้งที่ 1/2563 วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย”
ในการประชุมดังกล่าว มีคณะกรรมการ ซึ่งล้วนเป็นผู้รู้ เป็นผู้บริหารระดับสูงในแวดวงการเงินการเศรษฐกิจ ได้แก่ นายวิรไท สันติประภพ (ประธาน) นายเมธี สุภาพงษ์ (รองประธาน) นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒินายคณิศ แสงสุพรรณ นายสุภัค ศิวะรักษ์ นายสมชัย จิตสุชน
เนื้อหาประชุมมีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ คาดการณ์ บนฐานข้อมูลข้อเท็จจริงที่ละเอียดถี่ถ้วน (อันนำมาสู่การตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย) สรุปดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มชะลอลงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา แม้ก่อนหน้านี้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพขึ้น เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามภาคการผลิตที่ยังไม่เข้มแข็ง โดยสินค้าคงคลังของภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้น การจ้างงานในภาคการผลิตมีทิศทางชะลอลงขณะที่การจ้างงานในภาคบริการและเครื่องชี้การบริโภคมีสัญญาณปรับดีขึ้นบ้าง เศรษฐกิจจีนและเอเชียมีสัญญาณการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพโดยเฉพาะในภาคการผลิต สะท้อนจากสินค้าคงคลังที่มีแนวโน้มลดลง คำสั่งซื้อสินค้าขั้นกลางและสินค้าทุนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นตามกระแสการใช้เทคโนโลยีเครือข่าย 5G ตลอดจนความเชื่อมั่นของธุรกิจที่เพิ่มขึ้นหลังสหรัฐฯและจีนลงนามในข้อตกลงทางการค้าระยะแรกได้
อย่างไรก็ดี การระบาดของไวรัสโคโรนาส่งผลให้ความเสี่ยงในระยะสั้นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและเอเชียปรับเพิ่มขึ้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจยืดเยื้อจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
คณะกรรมการ ประเมินว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีโอกาสขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากหลายปัจจัยได้แก่ (1) การระบาดของไวรัสโคโรนาที่อาจแพร่กระจายไปประเทศอื่นมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบในวงกว้างขึ้นจากการบริโภคและภาคการท่องเที่ยวไปยังภาคการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ (2) การกีดกันทางการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยยังต้องติดตามการดำเนินการตามข้อตกลงระยะแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน เพราะจะมีผลต่อการปรับโครงสร้างทางการค้าและการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนในระยะต่อไป (3) ความไม่แน่นอนของข้อตกลงทางการค้าภายหลังสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป(Brexit) และ (4) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทวีความรุนแรงและยืดเยื้อโดยเฉพาะการประท้วงในประเทศต่างๆ ที่เกิดบ่อยครั้งมากขึ้น
คณะกรรมการ จึงเห็นควรให้ติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมทั้งความเสี่ยงต่างๆ ข้างต้นเพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านความเชื่อมโยงในแต่ละช่องทางอย่างใกล้ชิด
2. ภาวะตลาดการเงิน
ความกังวลในตลาดการเงินโลกปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้นจากการระบาดของไวรัสโคโรนา หลังจากที่ปรับลดลงเล็กน้อยในช่วงก่อนหน้าจากการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระยะแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน
3. ภาวะเศรษฐกิจในประเทศและเสถียรภาพระบบการเงิน
เศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าประมาณการเดิม และต่่ากว่าระดับศักยภาพมากขึ้นมากจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมาก
โดยการส่งออกภาคบริการมีแนวโน้มลดลงจากที่ประมาณการไว้เดิมมากตามจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มลดลงมาก โดยเฉพาะเป็นผลจากรัฐบาลจีนประกาศห้ามนักท่องเที่ยวจีนประเภทกลุ่มทัวร์เดินทางออกนอกประเทศหลังการระบาดของไวรัสโคโรนา
การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มลดลงตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคจากการหยุดการผลิตชั่วคราวในจีน อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จาก พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ล่าช้า
การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ตามรายได้ของครัวเรือนที่มีแนวโน้มชะลอลงมากขึ้นทั้งในภาคบริการ เกษตร และอุตสาหกรรม จากการระบาดของไวรัสโคโรนา การส่งออกที่มีแนวโน้มลดลง และภัยแล้งที่รุนแรงกว่าคาด ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง โดยความเชื่อมั่นของธุรกิจได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี สถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อธุรกิจมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว
4. คณะกรรมการ อภิปรายอย่างกว้างขวางถึงปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงประเมินผลกระทบของความเสี่ยงในแต่ละกรณี(scenario) โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่
(1) การระบาดของไวรัสโคโรนาที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง เพราะอาจแพร่ระบาดได้รวดเร็วในวงกว้างและสถานการณ์อาจยืดเยื้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่าคาด โดยเฉพาะธุรกิจและการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยว และมีความเสี่ยงที่นักท่องเที่ยวจีนประเภทกลุ่มทัวร์อาจถูกห้ามเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลานาน การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวอาจต้องใช้เวลาแม้ควบคุมสถานการณ์การระบาดได้แล้ว นอกจากนี้ คณะกรรมการ เห็นว่าเมืองอู่ฮั่น เป็นศูนย์กลางสำคัญของการคมนาคมขนส่งและภาคการผลิตหลายอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การปิดโรงงานในเมืองอู่ฮั่นและเมืองใกล้เคียงตั้งแต่วันหยุดตรุษจีนอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต (supply chain disruption) และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการฟื้นตัวของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์และภาคการส่งออกของไทยได้
(2) พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจ่าปีที่จะประกาศใช้ได้ล่าช้ากว่าที่ประเมินไว้ ทำให้การดำเนินงานและสภาพคล่องของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบโดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง
และ (3) ภัยแล้งที่อาจรุนแรงกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนในภาคเกษตร
5. คณะกรรมการฯ ประเมินเศรษฐกิจปี 2563 น่าสนใจ ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประมาณการไว้เดิมและต่่ากว่าระดับศักยภาพมากขึ้นมากจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจ่าปี และภัยแล้ง
คณะกรรมการ เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยต่างประเทศและปัจจัยในประเทศ ได้แก่ (1) การระบาดของไวรัสโคโรนาที่อาจรุนแรงและยืดเยื้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตและการส่งออก โดยเฉพาะวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจฟื้นตัวช้าลง (2) การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งมีนัยต่อแนวโน้มเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทย (3) ความไม่แน่นอนของการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งอาจทำให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่ รวมถึงความคืบหน้าของโครงการร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและผลต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชน (4) ความเสี่ยงของภัยแล้งที่อาจรุนแรงกว่าคาดส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและรายได้ภาคเกษตร รวมถึงต้นทุนการบริหารจัดการน้ำของภาคอุตสาหกรรมสูงขึ้นในบางพื้นที่ และ (5) การบริโภคภาคเอกชนที่อาจชะลอตัวกว่าคาดจากการจ้างงานและรายได้ที่ลดลง
6. จากข้อมูลและการวิเคราะห์ของ กนง.ข้างต้น สะท้อนภาพชัดเจนว่า ปัจจัยแทรกซ้อนสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย และต้องติดตามใกล้ชิดหลังจากนี้ คือ การระบาดของไวรัสโคโรนา “โควิด-19” - พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง
สองปัจจัยหลัง เราอาจกำหนดได้เอง(บางส่วน) และล่าสุด งบประมาณก็น่าจะถอดสลักได้แล้ว
แต่ปัจจัยแรก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตัวแปรในทางเศรษฐกิจอันนี้ ไม่ว่าประเทศไทยจะจัดการรับมือดีแค่ไหน ก็ทำได้เพียงลดแรงกระแทกภายในประเทศ แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น เกิดขึ้นอย่างแน่นอน จากการตัดสินใจของนานาประเทศ ที่กระทบการท่องเที่ยว การนำเข้า รวมถึงบรรยากาศทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เสียหายไป จากการที่แต่ละประเทศวางมาตรการของตนเองในการจัดการกับปัญหาที่หนักเบาแตกต่างกันออกไป
ปีนี้ “โควิด-19” จึงเป็นเสมือน “ปีศาจ” ที่ตามหลอกหลอนเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกอย่างแท้จริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี