สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และจะยังคงส่งผลดังกล่าวนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่งอย่างน้อยก็ในระยะเวลา 6 เดือนจากนี้ไป
จึงเป็นภารกิจของรัฐบาลของประเทศต่างๆ ที่จะต้องเตรียมรับมือในเรื่องนี้อย่างรอบด้าน มิฉะนั้นก็จะเกิดความเสียหายและความเดือดร้อน ตลอดจนความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชน
สำหรับเรื่องการป้องกันและการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยโรคไวรัสโควิด-19 นี้ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเก่งกล้าสามารถและประสบความสำเร็จมากที่สุดประเทศหนึ่ง ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมในการป้องกันรักษาโรคไวรัสโควิด-19 มาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่เกิดการปรากฏการณ์ของโรคนี้ขึ้น
ความจริงในขณะที่กำลังมีข้อสงสัยในประเทศจีนว่ากำลังมีโรคหวัดชนิดใหม่ระบาดขึ้นโดยยังไม่รู้ว่าเป็นโรคหวัดอะไรนั้น ประเทศไทยได้รับรู้เรื่องนี้พร้อมๆ กัน และสามารถตรวจพบผู้ป่วยก่อนประเทศอื่นอย่างเด่นชัด
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของประเทศไทยซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานและความสามารถที่สูงลำดับ 6 ของโลกได้ตรวจพบและกักตัวผู้ต้องสงสัยมาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2563 และนำไปกักตรวจสอบไว้ที่สถาบันบำราศนราดูร โดยที่ขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคหวัดอะไร
ที่สำคัญคือพูดจากันไม่รู้เรื่อง เพราะผู้ที่ถูกกักตัวทั้งหมดเป็นคนจีน จึงมีการประสานงานกับหน่วยงานเอกชนที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศจีนเพื่อช่วยเหลือจนกระทั่งคลี่คลายไป และทำให้ผู้ถูกกักตัวทั้งหมดผ่อนคลายและเข้าใจสถานการณ์
จากนั้นฝ่ายไทยก็ได้รั้งรอจนกระทั่งมีการเปิดข่าวเรื่องนี้ในประเทศจีนก่อนว่าได้เกิดโรคระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งตอนนั้นเรียกชื่อว่าโรคหวัดอู่ฮั่นหรือไวรัสอู่ฮั่น และปรากฏยอดจำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงมาก ความเพ่งเล็งทั้งหลายจึงพุ่งไปที่ประเทศจีน
ในยามนั้นทางประเทศไทยจึงได้เปิดข่าวถึงการกักตรวจสอบผู้ติดเชื้อดังกล่าว ซึ่งมีจำนวนสูงที่สุดนอกประเทศจีน
เดชะบุญที่ถ้าหากประเทศไทยเปิดข่าวนี้ออกไปก่อนก็จะถูกเพ่งเล็งและจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในฉับพลันทันที ดังนั้นต้องถือว่าเป็นความปรีชาสามารถขั้นสูงยิ่งของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
ความใส่ใจในการกักกันตรวจสอบดูแลรักษาที่หน่วยงานสาธารณสุขของไทยได้ปฏิบัติต่อชาวจีนนั้นความได้ทราบไปถึงผู้นำจีนทุกระดับ โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ซึ่งขณะนั้นประเทศจีนก็ได้ค้นพบพันธุกรรมของไวรัสชนิดนี้ว่าประกอบขึ้นจากสองสายพันธุ์ คือสายพันธุ์โรสซาร์ส และสายพันธุ์โรคเอดส์ หรือ HIV จึงสามารถคิดสูตรยาในการรักษาได้สำเร็จ
แต่ทว่าประเทศจีนไม่มีความชำนาญในเรื่องโรคเอดส์ ในขณะที่ประเทศไทยมีความชำนาญขั้นสูงเพราะมีผู้ติดเชื้อโรคเอดส์จำนวนมาก และได้ต่อสู้กับโรคเอดส์มายาวนานกว่า 20 ปี และมียารักษาที่หน่วยงานของรัฐของประเทศไทยผลิตได้เองในต้นทุนที่ต่ำมาก แค่เม็ดละประมาณ 3 บาทเท่านั้น
ในขณะที่ประเทศอินเดียซึ่งไม่รับรองสิทธิบัตรยาโดยถือว่าเป็นสิทธิของมวลมนุษย์ก็ยังมีต้นทุนและราคาขายที่สูงกว่าคือเม็ดละ 250 บาท ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีมาตรฐานสูงมีราคาสูงถึงเม็ดละ 750 บาท
จีนเชื่อถือและเชื่อมั่นในความเป็นพี่น้องของคนไทย จึงได้แจ้งสูตรยานี้มายังประเทศไทย ทำให้รัฐบาลไทยได้ทราบเรื่องนี้ และทำให้แพทย์ที่เกี่ยวข้องสามารถทดลองใช้สูตรยานี้และประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก จนสามารถประกาศความสำเร็จให้กึกก้องกระหึ่มทั่วโลกในวันแรกได้
แต่ยาดังกล่าวแม้ผลิตได้แต่กลับไม่มีการรับรองมาตรฐานซึ่งไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงถูกคนบางกลุ่มออกมาประกาศว่าไม่มียารักษาโรคไวรัสโควิด-19 นี้ ดังนั้นข่าวความสำเร็จของคณะแพทย์ไทยที่ฮือฮาไปทั่วโลกจึงกลายเป็นดาวตกลงจากฟ้า วาบเดียวก็ดับหายไป
แต่ประเทศจีนเขาไม่ขึ้นต่อเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ในที่สุดจีนก็สามารถจัดหาตัวยาได้และสามารถผลิตและเร่งการผลิตยานี้อย่างขนานใหญ่ จึงทำให้จีนประสบความสำเร็จในการรักษาเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นรัฐบาลจีนก็ระดมกำลังของแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบัน ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศในการตรวจค้นยาอย่างอื่นในการรักษาและในการป้องกันหรือวัคซีนคู่ขนานกันไปด้วย
ในระหว่างนั้นคณะแพทย์ไทยก็ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง คือสามารถคิดค้นและทดลองนำพลาสม่า หรือน้ำเลือดจากผู้ป่วยด้วยโรคไวรัสโควิด-19 ที่หายแล้วมาฉีดให้กับผู้ป่วย ปรากฏว่าได้ผลอย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่สั้นมาก ซึ่งประเทศไทยก็ได้แจ้งความรู้นี้แก่ประเทศจีน สร้างความประทับใจอย่างยิ่งให้แก่ประชาชนจีน
ทั้งสูตรยาใหม่ยาเก่าได้ค้นพบขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ประเทศจีนก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในการรักษาโรคไวรัสโควิด-19 อย่างได้ผลมากที่สุดของโลกและประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนด้วย ทั้งๆ ที่บริษัทยาต่างประเทศบริษัทหนึ่งได้ประกาศความสำเร็จเรื่องวัคซีนนี้มาก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาดล่วงหน้าถึง 3 เดือน
ทว่าวัคซีนของจีนนั้นมีข้อเด่นตรงที่มุ่งป้องกันไวรัสสายพันธุ์ HIV ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ในขณะที่วัคซีนของอีกประเทศหนึ่งมุ่งป้องกันไวรัสซาร์ส ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันของมนุษย์อ่อนแอลง
ประกอบทั้งทั่วโลกเริ่มรับทราบว่าไวรัสโควิด-19 นั้นอาจจะไม่ใช่ไวรัสจากธรรมชาติ นั่นหมายความว่าเป็นนวัตกรรมที่มนุษย์กระทำขึ้น ทำให้บริษัทยาต่างชาติที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรเชื้อไวรัสตัวนี้และบริษัทที่เตรียมวัคซีนไว้สำหรับจำหน่ายแก่ประชากร 7,000 ล้านทั่วโลก ต้องถูกเพ่งเล็งจากทั่วโลกว่าอาจมีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็ได้
ยิ่งการจับจ้องมากขึ้นเท่าใดก็ย่อมกระทบต่อแผนจำหน่ายวัคซีนนั้น แต่ในขณะเดียวกันความสำเร็จในการคิดค้นในการผลิตยาและวัคซีนของจีน ประกอบกับมาตรการที่รัฐบาลจีนใช้ความเด็ดขาดในการกำกับควบคุมการแพร่ระบาดได้ผลใหญ่หลวง ทำให้อัตราการติดเชื้อไวรัสลดลง อัตราการหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอัตราการตายก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จนผู้นำจีนสามารถประกาศต่อชาวโลกว่าจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว แต่เพราะ “มีความสลับซับซ้อน”จึงต้องควบคุมอย่างเข้มงวดอีกระยะหนึ่ง จึงเหลืองานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผู้นำจีนได้ยืนยันว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่กระทบจากการแพร่ระบาดเพราะมีพลังและศักยภาพอย่างมหาศาล
แต่จากผลของการควบคุมการเดินทางของประชาชนจีนอีกระยะหนึ่ง และการหยุดงานในช่วงระยะที่ผ่านมา ได้ทำให้การค้าขายและการผลิตที่ส่งออกไปยังต่างประเทศได้รับผลกระทบอย่างทั่วด้าน ผลกระทบนี้เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐ ยุโรป ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีและญี่ปุ่น
แม้กระทั่งการห้ามการบินเข้าออก แม้เกิดความเสียหายแก่ประเทศจีน 40% แต่ประเทศคู่ค้าในเรื่องการบินกลับเสียหายถึง 60% ทำนองเดียวกันกับการผลิต แม้จีนจะได้รับผลกระทบก็อยู่ในระดับ 40% แต่ทั่วโลกได้รับผลกระทบถึง 60%
สถานการณ์มาถึงขั้นที่จีนซึ่งเป็นประเทศที่โรคระบาดเป็นครั้งแรกสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ประเทศต่างๆ กำลังแพร่ระบาดอย่างขนานใหญ่ ดังนั้นจะเตรียมการรับมือกันอย่างไร จึงเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่สุดของทุกประเทศ รวมทั้งรัฐบาลไทยด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี