ตลอด 4 วันที่ผ่านมาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ดูเหมือนจะไม่มีประเด็นอะไรใหม่อย่างที่คาดคิด หลายคนบอกว่าเนื้อหาก็ล้วนแต่เคยรับรู้มาแล้ว? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินพ่อนายกฯ เรื่องการบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว การเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัวรายใหญ่ แต่สิ่งที่คนติดตามเรียกร้องเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมานั่นคือหลักฐาน หรือแม้กระทั่งประชาชนเองก็อาจจะอยากให้ฝ่ายค้านดำเนินคดีต่อด้วย มากกว่าการแค่อภิปรายในสภาหรือให้สัมภาษณ์เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองบางอย่างดำเนินไปพร้อมๆ กับการอภิปรายในสภา นั่นคือการเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่นอกสภาภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เหตุเพราะแกนนำคนสำคัญล้วนแต่เป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปีจึงออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยได้กระทำการจัดชุมนุม? ตั้งแต่วันแรกที่พรรคโดนยุบ และขณะนี้กำลังถูกตั้งข้อสงสัยว่ากำลังปลุกปั่นนักศึกษาและเยาวชนให้ออกมาชุมนุมหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐคงต้องมาหาข้อเท็จจริงต่อไป ในขณะที่ สส.ที่เหลืออยู่ของพรรคอนาคตใหม่ที่ยังไม่ได้ย้ายสังกัดชัดเจน ก็ได้จุดประเด็นสร้างกระแสการดูดสส.ของพรรคภูมิใจไทย โดยกล่าวอ้างว่ามีการใช้เงินซื้อตัวมูลค่าหลายล้าน โดยไม่ได้พูดในห้องประชุมสภาแต่เป็นการแถลงนอกห้อง ซึ่งการพูดทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก หลายเดือนก่อนก็มีการกล่าวอ้างถึงพลังดูดสส.โดยใช้เงินกว่า 100 ล้าน แต่หลายฝ่ายก็ตั้งข้อสังเกตถึงการไม่ส่งดำเนินคดีของพรรคอนาคตใหม่ หรือไม่?
อะไรที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่ดำเนินมาถึงจุดนี้ได้?
นับย้อนไปตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งที่ผ่านมาที่ครั้งนี้มีพรรคเกิดใหม่มากมายอันเนื่องมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ถือเป็นโอกาสของพรรคการเมืองใหม่และพรรคเล็ก เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการเมืองอย่างเสรี หากแต่การเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ รวมถึงพรรคการเมืองใหม่ที่รวบรวมเสียงส่วนใหญ่ของคนรุ่นใหม่ไว้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพรรคการเมืองใหม่ที่เป็นความหวังของประชาชน? เหมือนจะมีโอกาสแต่เดินกลับเกมพลาดหรือไม่? เป็นคำถามที่นักวิจารณ์การเมืองเป็นห่วงและเสียดายแทนยุคนี้เป็นยุคของคนรุ่นใหม่เป็นโอกาสที่ดีของพรรคการเมืองใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่แต่ก็เหตุใดจึงเดินเกมพลาดผู้อาวุโสที่มองลูกมองหลานที่จะฝากชีวิตเอาไว้คาดหวังกับอนาคตประเทศ ก็ต่างชื่นชมความสดใหม่ความกล้าหาญ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทางการเมือง ต่างก็เป็นห่วงถึงแนวดำเนินการที่ผ่านมาว่า อาจด้วยประสบการณ์น้อย ความใจร้อน การสู้แบบไม่เลือกคู่ชก หรือแม้กระทั่งการไม่รู้จักข้อจำกัดของตัวเองหรือไม่? ที่อาจกลายเป็นต้นเหตุของการตัดสินใจที่ผิดพลาดและเสียจังหวะก่อนเวลาอันควรไปอย่างน่าเสียดาย
ความเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความได้เปรียบจากการไม่บอบช้ำจากเวทีหรือสนามทางการเมือง จึงทำให้ไม่มีจุดอ่อนที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงานในสภาได้ ซึ่งน่าจะเป็นจุดแข็งจนนำไปสู่ความมั่นใจที่อาจเกินไปหรือไม่? คนรุ่นใหม่มีความสามารถกว่าคนรุ่นเก่าก็อาจเป็นได้ในหลายเรื่อง แต่คงไม่ทุกเรื่องและไม่อาจใช้กับทุกสถานการณ์ได้
แม้จะเปรียบเทียบกับพรรคที่มีอุดมการณ์ในแนวทางใกล้เคียงกัน เราจะเห็นภาพพรรคอนาคตใหม่ที่มีลูกเล่นแปลกใหม่ในสภาเป็นที่โดดเด่นน่าตื่นเต้น เป็นความหวัง จนหลายครั้งอาจดูเหมือนจะก้าวข้ามหัวพรรคเก่าแก่อย่างเพื่อไทยด้วยซ้ำ และก็สามารถชิงบทนำของฝ่ายค้านในสภาจากพรรคเพื่อไทยมาได้อย่างน่าชื่นชม แต่การเมืองไม่ได้มีแค่ในสภา การเดินเกมการเมืองนอกสภากลับโดดเดี่ยว? แม้กระทั่งจากฝ่ายค้านด้วยกัน ในมุมหนึ่งอาจมองว่าเป็นพลัง“ความหนุ่ม สด ใหม่” แต่หากพลังดังกล่าวถูกใช้อย่างไร้ทิศทางไม่รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มใด สังกัดอุดมการณ์ใด อายุเท่าใด ก็พังมาแล้วทั้งนั้นใช่หรือไม่?
จุดเด่นของพรรคอนาคตใหม่คือความเชี่ยวชาญในการสื่อสาร ความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อส่งต่อสารด้วยวิธีสมัยใหม่ถึงประชาชน จนบางครั้งอาจละเลยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ละเลยการตรวจสอบข้อกฎหมาย จนน่าเป็นห่วงว่าบางครั้งอาจลืมไปแล้วว่านักการเมืองคือผู้ที่อยู่ในที่แจ้ง อะไรที่ได้พูดออกมาก็ถูกบันทึกไว้ได้หมด โลกของการเมืองระดับประเทศทุกคนต้องเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงเคารพกฎหมายฉบับเดียวกัน มีคนตั้งประเด็นว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่จนนำมาซึ่งการยุบพรรคครั้งนี้ ไม่ได้เกิดกับพรรคการเมืองอื่นแม้จะเป็น
ฝ่ายค้านด้วยกันอย่างเช่น พรรคเพื่อไทยจริงๆ แล้วอุดมการณ์ทางการเมืองจึงอาจไม่ใช่อุปสรรค หากแต่เป็นไปได้ไหมว่าความใจร้อนก็ดี ความไม่ละเอียดรอบคอบก็ดี และความไม่เชี่ยวชาญทางกฎหมายอาจเป็นต้นตอของความผิดพลาดในปัจจุบันหรือไม่?
อีกสาเหตุหนึ่งที่หลายคนตั้งคำถามถึงการต่อสู้ในฐานะฝ่ายค้านของพรรคอนาคตใหม่ว่าเหตุใดจึงถูกมองว่าเดินเกมค้านเกือบทุกกระดาน หรือ “ชกแบบไม่เลือก” หรือไม่? ซึ่งอาจเป็นความตั้งใจที่มียุทธศาสตร์ ที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามมองไม่ออกว่ากำลังชกกับใคร หรืออาจไม่ได้วางแผนที่แม้แต่ตัวเองก็อาจไม่รู้ว่ากำลังชกกับใครอยู่? ที่เปรียบเทียบเช่นนี้เพราะหลายครั้งไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร ซึ่งอาจทำให้สูญเสียทรัพยากรหรือสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น อย่างเรื่องการซื้อตัว สส. ที่เคยพูดมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง เมื่อถามหาหลักฐาน หรือถูกท้าทายให้ดำเนินคดีต่อก็พลาดที่จะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องต่อต้านกฎหมายเกือบทุกฉบับโดยแทบไม่ยกเว้น หากมีสส.ในพรรคมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปหรือพิจารณาแยกปัจจัยทางการเมือง โหวตให้ผ่านบ้าง ก็ถูกมองว่าตั้งป้อมต่อต้านและขับไล่ออกจากพรรค จนอาจทำให้เสียภาพพรรคคนรุ่นใหม่ที่เสรีทางความคิดและเปิดกว้างสำหรับทุกคน ไปอย่างน่าเสียดาย
หลายคนเริ่มมองอดีตหัวหน้าพรรคและอดีตเลขาฯพรรค ว่าเวลาทำให้ความคิดหรือการกระทำเปลี่ยนไปหรือไม่? หรือเป็นเช่นนี้แต่ต้น จนเกิดคำถามต่อพฤติกรรมในการบริหารพรรคว่า เป็นเผด็จการในการบริหารพรรค หรือไม่?การไม่รับฟังความคิดเห็นของคนที่คิดต่างในระยะหลังนี้ ซึ่งส่งผลถึงลูกพรรคและบรรดาแฟนคลับ และกำลังจะสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่เสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองอย่างน่ากังวลหรือไม่?
ผู้นำจริงจะต้องเข้มแข็งในอุดมการณ์แต่ยืดหยุ่นในการปกครอง ต้องปกครองคนทั้งประเทศไม่ใช่พรรคการเมืองพรรคเดียว ต้องใจกว้างกับทุกคนแต่เดินเกมอย่างสุขุม ความคิดแบบนี้ยังจำเป็นต่อยุคสมัยนี้ หรือไม่ควรมีแล้วหรือ ?
ผลที่เกิดขึ้นวันนี้ต่อการปกครองในพรรคคืออะไร เลือดไหลไม่หยุด? ไปอย่างน่าเสียดายแทน คนที่เคยเดินเข้าในวันที่ตั้งพรรคต้องจำใจเดินออกเพราะอยู่ไม่ได้หรือไม่? เมื่อออกไปก็ถูกกล่าวหาเพียงเพราะมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป ตอนนี้บางส่วนที่เดินออกเพราะอาจกังวลต่อมือกฎหมายของพรรคที่อาจดูเหมือนต่อต้านทุกระบอบ ทุกสถาบันหรือไม่ ? จนอาจถูกมองว่าถือวาระของตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ใช่วาระหลักขอพรรคหรือไม่? จนนำไปสู่ความพลาด ไปอย่างน่าเสียดาย
การยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นความผิดพลาดในการประเมินกฎหมายที่ผิดพลาดของคนที่คิดว่าตัวเองเก่งกฎหมายที่สุดเพียงคนเดียว แต่นั่นไม่เท่ากับการเลือกตัดสินใจของผู้นำพรรคว่าจะเลือกเชื่อใคร? เหตุใดจึงไม่มองความเป็นจริงในส่วนของพรรคที่สส.มากที่สุดในฝั่งอุดมการณ์ใกล้กัน และมีการบริหารงานที่ซับซ้อน กว่ากลัไม่มีปัญหาตรงนี้เลย จึงไม่อาจโทษใครได้นอกจากมือกฎหมายของตัวเอง น่าเสียดายแทน แต่ก็ไม่น่าจะนำเรื่องความผิดพลาดตนเองเหล่านี้ มาเรียกร้องให้คนที่อายุน้อยกว่ามายืนเป็นเกราะกำบัง เพราะคนที่คิดจะเป็นผู้นำไม่ว่าจะมาจากคนยุคใด วัยไหนสมควรที่จะต้องเสียสละปกป้องและยอมรับความจริง คนทุกช่วงวัยทุกระดับจะหันกลับมาศรัทธาอีกครั้งไม่ใช่หรือ?
“จะมีชีวิตอยู่โดยทรงคุณค่าเป็นที่ลำบากก็จริง
จะตายให้มีคุณค่ายิ่งยากเข็ญกว่ามากนัก”
คำคมโกวเล้ง บุรุษและสตรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี