ความรู้คืออำนาจ คำนี้เมื่อดูเพียงเผิน ๆ แล้ว ก็อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่หลงลำพอง เพราะคิดเอาเองว่า ตนคือผู้มีความรู้ขั้นสูง เนื่องจากมีการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย แต่อันที่จริงแล้ว คำว่าความรู้คืออำนาจนั้นมีความกำกวม และคลุมเคลือเป็นอย่างมาก เพราะหลายต่อหลายคนที่เรียนจบขั้นปริญญา แต่ก็กลับไม่สามารถแปรสภาพเป็นปัญญาชนได้อย่างแท้จริง เมื่อคนจำพวกดังกล่าวมีเพียงแค่ปริญญาบัตร แต่ปราศจากปัญญาก็จึงกลายเป็นเหยื่อของผู้อื่นได้โดยง่ายดาย ทั้งนี้ยังมิได้กล่าวไปถึงกลุ่มบุคคลที่มีสถานะเป็นนิสิต นักศึกษาอีกจำนวนมาก ที่มักหลงลำพองและลิงโลดด้วยความหลงตัวเอง เพราะเพลิดเพลินไปกับคำว่า ปัญญาชน
ปัญญาชนที่แท้จริงนั้นคือผู้มีสติปัญญา สามารถใช้สติปัญญาของตนแยกแยะได้ว่าสิ่งใดผิดและสิ่งใดถูก เป็นผู้มีข้อมูลที่ลึกซึ้ง โดยข้อมูลที่มีนั้นต้องผ่านการกลั่นกรองและวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว ปัญญาชนไม่หลงเชื่อข้อมูลที่ปราศจากความจริงที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
Immanuel Wallerstein นักวิชาการชาวอเมริกัน เขียนบทความชื่อ Knowledge, Power and Politics : The role of an Intellectual in an Age of Transition โดยมีข้อความประโยคหนึ่งระบุว่า Intellectuals are essential to the abilities of persons in power to remain in power. ปัญญาชนมีความสำคัญต่อความสามารถของบุคคลผู้มีอำนาจในการดำรงอยู่ในอำนาจ
On the other hand, intellectuals do not exist in a void. They need material support, which is difficult to obtain without at least the passive assent of those in power. And they need a public audience, which is difficult to maintain if they are merely the mouthpiece of the powerful. ในทางกลับกัน เหล่าปัญญาชนก็มิได้ดำรงอยู่อย่างว่างเปล่า พวกเขาต้องการการสนับสนุนด้านวัตถุ ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่จะได้รับโดยปราศจากความยินยอมของผู้มีอำนาจ และปัญญาชนยังต้องการให้สาธารณชนรับฟังพวกเขาด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องยากลำบากอีกกับการจะได้ในสิ่งที่ต้องการ หากพวกเขาเป็นได้แค่เพียงกระบอกเสียงของผู้มีอำนาจ (ผู้เขียนขอแนะนำให้ผู้ที่คิดและเชื่อว่าตนเองคือปัญญาชนโปรดอ่านบทความนี้ของ Wallerstein)
ที่นี้ขอกลับมาพูดถึงประเด็นพลังบริสุทธิ์ หรือที่หลาย ๆ คนเชื่อว่าพลังบริสุทธิ์คือพลังของนิสิต นักศึกษา ปัญญาชน เพราะประเด็นนี้กำลังได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากสาธารณชนเห็นว่ามีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเกิดขึ้นภายในสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาหลายแห่ง และรวมถึงมีความเคลื่อนไหวภายในโรงแรงระดับมัธยมศึกษาบางแห่งอีกด้วย
ก่อนอื่น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปัญญาชนของประเทศไทยให้ความสนอกสนใจกับประเด็นทางการเมือง เพราะหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ผ่านพ้นไปแล้ว สาธารณชนในสังคมไทยประจักษ์ดีว่าพลังบริสุทธิ์ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ปัญญาชนได้มลายหายสิ้นไปจากสังคมไทย
จนกระทั่งในยุคนี้ ก็ได้กลับมาพบมาเห็นว่าเด็กและเยาวชน คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งได้แสดงความตื่นตัวทางการเมืองให้ปรากฏขึ้น ซึ่งผู้เขียนขอให้กำลังใจกับเด็กและเยาวชนเหล่านี้ และขอสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้พยายามติดตามสถานการณ์ของบ้านของเมืองให้ใกล้ชิดมากที่สุด เพื่อที่จะได้มีข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ต่อไป โดยไม่ก้าวเดินไปอย่างหลงทิศผิดทาง จนตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองและนายทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติและต่อประชาชน
การตื่นตัวทางการเมือง และการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่คือสิ่งสำคัญที่สาธารณชนจำเป็นต้องช่วยสนับสนุน และต้องประคับประคองให้ขบวนการของปัญญาชนเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต เพราะพลังนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้นักการเมืองไม่เหลิงและลุ่มหลงในอำนาจรัฐ จนนำพาประเทศไปสู่ขุมนรกที่ต่ำที่สุด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ปัญญาชนคนรุ่นใหม่จำเป็นต้องสำเหนียกให้มากที่สุดคือ ต้องไม่ปล่อยให้ตนเองกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด หรือคณะหนึ่งคณะใด และต้องระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวภายในกลุ่มของตน โดยไม่ยินยอมให้มีใครเข้าไปมีอำนาจสั่งการเหนือกลุ่มของตนเอง
ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ผู้บริหารประเทศจำเป็นต้องให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหว การกระทำ และข้อเรียกร้องต่าง ๆ นานาของเด็กและเยาวชนด้วย ขอผู้มีอำนาจรัฐโปรดอย่าผลักไสขับไล่เด็กและเยาวชนเหล่านี้ไปอยู่ฝั่งเดียวกับผู้ยุยงปลุกปั่น ผู้มีอำนาจรัฐที่มีความชาญฉลาดและเห็นแก่ผลประโยชน์ที่แท้จริงของบ้านของเมืองจำเป็นต้องเข้าใจจิตวิทยาของเด็ก ต้องฟังเสียงของเด็กบ้าง ต้องพยายามเข้าใจเด็ก และต้องไม่มองว่าเด็กเป็นคนร้าย
ผู้มีอำนาจรัฐที่ชาญฉลาดต้องไม่ลืมว่า เด็กก็คือเด็ก เด็กต้องคิดแบบเด็ก เพราะเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ โลกทัศน์ของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ และต้องไม่ลืมว่าเด็กยังอ่อนโลก ยังอ่อนหัด และยังอ่อนประสบการณ์ เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าไปรับรู้ความต้องการของเด็ก ต้องฟังเด็กให้มาก อย่าคิดเพียงว่าเด็กต้องฟังผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจรัฐต้องเปิดใจรับฟังความต้องการของเด็ก เพราะเด็กนั้นต้องการให้ผู้อื่นรับฟังความคิดของเขา และเด็กก็ต้องการที่ยืนในสังคม ต้องการการยอมรับจากสังคม นี่คือธรรมชาติของเด็ก
การที่รัฐบาลใช้วิธีการเสมือนข่มขู่เด็กว่า ระวังจะหมดอนาคต ระวังจะติดคุกติดตะราง เพราะเด็กกำลังทำผิดกฎหมาย การพูดด้วยภาษาเช่นนี้กับเด็ก ไม่ทำให้เด็กเกิดความสำเหนียกขึ้นมาได้ เพราะเด็กยังคิดตลอดเวลาว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นคือความดีงาม เป็นความถูกต้อง และไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย มิหนำซ้ำ เด็กยังคิดอีกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นคือการกอบกู้บ้านเมืองให้รอดพ้นจากภัยพิบัติจากน้ำมือของคนที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของบ้านเมือง
รัฐบาลต้องเข้าใจว่า เวลาเด็ก ๆ พูดถึงการปกครองระบอบเสรีประชาธิปไตยนั้น มันทำให้เด็กเข้าใจว่าพวกเขากำลังทำความดีเพื่อบ้านเพื่อเมือง เพราะคำว่าประชาธิปไตยคือคำที่สวยหรูสำหรับเด็ก และรวมถึงคนทุกคนในสังคมที่ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร นอกจากนั้นเด็กก็ยังคิดว่าการพูดในเรื่องสวยหรูจะทำให้ตนเองกลายเป็นคนที่น่าสนใจ หรือกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา แล้วเด็กก็มักจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้าหากตนเองสามารถดันตัวขึ้นมามีวิวาทะทางการเมืองกับผู้มีอำนาจรัฐได้ มันจะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และสลักสำคัญมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ต่างไปจากการที่เราได้เห็นเด็กอายุ 3-4 ขวบ เล่นกับเพื่อน ๆ วัยเดียวกันของเขาโดยเรียกตัวเองว่า แม่ (สำหรับเด็กหญิง แต่ก็อาจมีเด็กชายจำนวนหนึ่งอยากเป็นแม่) แล้วให้เพื่อนผู้ชายวัยเดียวกันเป็นพ่อ แล้วก็ให้ตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อย หรือแม้กระทั่งให้หมาและแมวเป็นลูก ซึ่งบางทีก็บังคับให้ผู้ใหญ่ในบ้านต้องยอมรับบทบาทของการเป็นลูกของพวกเขาไปด้วย เรื่องแบบนี้จะเกิดกับเด็ก ๆ ในวัยหนึ่งเท่านั้น เพราะเมื่อเขาโตเกินวัยนี้แล้ว เขาก็ไม่เล่นเกมครอบครัวพ่อแม่ลูกอีกต่อไป ดังนั้นหากผู้ใหญ่รายใดเกิดอาการสติแตก แล้วดุด่าว่ากล่าวหรือเฆียนตีเด็กที่เล่นเกมครอบครัว ก็ต้องบอกว่าผู้ใหญ่รายนั้นเป็นบ้าไปแล้ว
ฉันใดก็ฉันนั้น รัฐบาลก็ต้องเข้าใจด้วยว่าทำไมเด็กจึงก่อการประท้วงในเขตมหาวิทยาลัย และในโรงเรียน แล้วหากเป็นรัฐบาลที่ชาญฉลาดก็ต้องเข้าไปสืบค้นให้ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังการชุมนุมประท้วงนั้น ๆ การที่รัฐบาลดีแต่ขู่เด็กว่าระวังจะหมดอนาคต หรือระวังจะติดคุก เป็นการกระทำที่ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ เพราะเด็กไม่เคยคิดว่าตัวเองจะติดคุกคิดตะราง เพราะเขายังเชื่อว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง
ยิ่งถ้าหากรัฐบาลมีสติ มีปัญญา และมีความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ที่ต้องการแก้ปัญหาการเคลื่อนไหวของเด็กและเยาวชนแล้ว รัฐบาลจะต้องนำตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับเด็กให้มากขึ้น ต้องพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบตัวเด็ก ต้องชี้ให้เห็นว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือเรื่องเท็จ อะไรผิดกฎหมาย และอะไรถูกกฎหมาย ยิ่งรัฐบาลรู้ดีว่าเด็กก่อเหตุประท้วงด้วยความไร้สติ หรือทำไปเพราะไร้ปัญญา รัฐบาลที่มีคุณธรรมยิ่งต้องให้ความเมตตากับเด็กให้มาก
รัฐบาลที่ชาญฉลาดต้องระลึกไว้เสมอว่าเด็กก็คือเด็ก หากเด็กไม่ทำพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ แล้ว เขาจะเป็นเด็กได้อย่างไร การจะให้เด็กรักและเชื่อถือรัฐบาลนั้น รัฐบาลต้องทำให้เด็กเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นคนร้าย ไม่ได้โกงบ้านกินเมือง และไม่ได้คิดร้ายต่อพวกเด็ก ๆ หากรัฐบาลทำให้เด็กเห็นและเชื่อว่ารัฐบาลไม่ใช่คนเลว ต่อให้ใครยุยงปลุกระดมเด็กวันละสามเวลาหลังอาหาร เด็กก็จะไม่เป็นศัตรูกับรัฐบาล ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า รัฐบาลทำตัวให้เด็กเห็นและมั่นใจหรือยังว่ารัฐบาลเป็นคนดีโดยแท้จริง
ขอย้ำว่า รัฐบาลที่ดีต้องเข้าหาเด็ก ต้องให้ความรู้ ความกระจ่างกับเด็ก ต้องไม่มองว่าเด็กเป็นศัตรู ไม่มองว่าเด็กเป็นตัวการป่วยบ้านป่วนเมือง เพราะเด็กคิดเรื่องแบบนี้เองไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นเด็กเกินไป แต่รัฐบาลที่มีปัญญาต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกันคนที่จงใจปลุกระดมให้เด็กมีพฤติกรรมป่วนบ้านป่วนเมือง และเข้าใจผิดในสาระสำคัญของคำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เด็กในโรงเรียน และในมหาวิทยาลัยที่มีพฤติกรรมไร้ความคิดยังเป็นเรื่องที่สังคมให้อภัยได้ แต่ถ้าหากรัฐบาลมีพฤติกรรมไร้ความคิดเสียแล้ว สังคมไม่มีวันให้อภัยอย่างแน่นอน เด็กที่คิดไม่เป็นไม่น่าสังเวชเท่าผู้ใหญ่ไร้ความคิด เด็กในมหาวิทยาลัยอาจจะแสดงความโง่ออกมาได้ แต่ดูแล้วก็ยังไม่น่าทุเรศเท่ากับรัฐบาลไร้ความคิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี