หากถามคำถามกับชาวต่างประเทศที่มาท่องเที่ยว มาทำธุระที่ประเทศไทยว่าประทับใจอะไรในตัวคนไทย คำตอบก็มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ชาวไทยนั้นต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ทั้งยังโอบอ้อมอารี ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพอ่อนโยนอะลุ้มอล่วย ไม่ถือสา ไม่ผูกพยาบาทคิดอาฆาตมาดร้าย และให้อภัยง่าย
นั่นก็เลยทำให้ชาวต่างชาติที่มาเหยียบพื้นแผ่นดินไทยต่างรู้สึกเบาตัว เบาใจ สะดวกสบาย และคล่องตัวดี
สิ่งที่ชาวโลกกล่าวถึงคนไทยนั้นก็ไม่ได้เกินความจริงเลย เพราะคุณสมบัติต่างๆ ที่เขาแจกแจงมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวพวกเราคนไทย ซึ่งเราก็ภูมิอกภูมิใจ โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นสิ่งที่ดีงาม เราก็ควรร่วมกันรักษา ทะนุถนอมกันไว้ หากจะพูดในเชิงพาณิชย์ ก็คงเป็นการรักษาจุดขายที่ดี โดดเด่น ไร้เทียมทานเอาไว้ในเชิงธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ
แต่ในปัจจุบัน การยิ้มแย้มแจ่มใส ใจเย็นนั้นดูจะเป็นแค่เรื่องของคนไทยกับชาวต่างชาติเท่านั้น เพราะระยะหลังๆ มานี้ คนไทยกับคนไทยด้วยกันเอง กลับดูโกรธกันง่าย วิวาทกันง่าย และยังใช้ความโหดร้ายต่อกัน ทำให้อดคิดกันไมได้ว่าสังคมไทยวันนี้ สภาวะจิตใจของคนนั้นตกต่ำ เรานั้นขาดสติ และห่างศีลธรรม จริงหรือ
แล้วอะไรที่ทำให้เกิดความร้อนรุ่มในใจคนไทย จนกลายเป็นใจร้อน ยอมกันไม่ได้เล่า?
เมื่อมองไปยังบุคคลสาธารณะอย่างนักการเมือง ก็พบว่าต่างฝ่ายต่างมุ่งหักล้างกันแบบไม่สนใจเหตุผล หรือวิธีการ นอกจากนั้น ยังมุ่งหาแต่โอกาสเพื่อโฆษณาตนเอง หาคะแนนนิยมหาความดีใส่ตนแบบฉาบฉวย ซึ่งเป็นการหลอกลวง ชนิดไร้ยางอาย
ในขณะที่ข้าราชการระดับสูงที่ควรจะเป็นต้นแบบให้ระดับล่าง ก็กลับโยนกลอง โยนความรับผิดชอบไปให้ลูกน้องที่ได้แต่ทำตาปริบๆ ส่วนด้านบนก็ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองออกหน้าไปวันๆ ไม่ต้องไปสนใจความถูกผิด ลูกน้องที่อยู่ด้านล่างก็ให้ว่ากันไปตามมีตามเกิด จนสร้างวัฒนธรรม รู้รอด หลีกๆ ได้เป็นดี ให้กับสังคมข้าราชการไทย
ผู้ทรงศีล นักบวช แทนที่จะเป็นผู้ทำนุบำรุงศีลธรรม ก็กลับกลายเป็นนักเบียด หากิน หาเศษหาเลยจาก “อาชีพ” ไปจนมีข่าวเสียๆ หายๆ ต่อวงการศาสนาไทยอย่างต่อเนื่อง
ครูบาอาจารย์ ที่มีสถานะเป็นบุคคลต้นแบบแก่เยาวชน ก็ดันไปยุยงส่งเสริมลัทธิแห่งความเกลียดชัง บิดเบือนวิชาการ นอกจากนั้นก็ยังโกงกินแม้กระทั่งค่าอาหารเด็กนักเรียน บางคนก็ปล้น ขโมย ชาวบ้านเขา ลืมความเป็นแม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ของชาติ
กลับมาที่ชีวิตคนส่วนใหญ่ที่หาเช้ากินค่ำ แทนที่จะขยันทำมาหากิน ก็กลายเป็นนั่งรอโชคชะตาผ่านการพนันขันต่อ ทั้งหวยทั้งลอตเตอรี่ รอการโปรยเงินด้วยโครงการประชานิยม เอาแต่ป่าวร้องว่ารายได้ไม่พอรายจ่าย แต่ไม่ได้ตระหนักว่า เหล้ายาปลาปิ้งการพนันขันต่อ และการใช้จ่ายเกินตัวนั้น ควรจะเลิกได้แล้ว
แรงงานไทยบัดนี้ ก็ชอบเลือกทำแต่งานง่ายๆ ได้เงินง่ายๆ ส่วนงานหนัก งานเหนื่อย งานเสี่ยงนั้น ปล่อยให้มอญเขมร พม่ารามัญรับเอาไป ส่วนการขวนขวายหาความรู้ หาทักษะเพิ่มเติมไม่ต้องมาพูดกัน
ชีวิตประจำวันไม่สะดวก และไม่ค่อยปลอดภัย การไปติดต่อส่วนราชการก็ใช้เวลามาก แล้วก็ต้องวิ่งเต้นกัน หรือไม่ก็เจอแต่หลักการใช้ดุลยพินิจ ก็ต้องอึดอัดใจ แต่ใจรู้ทั้งรู้ เพราะเกิดมาเป็นคนไทย ต้องทนยอมรับความไม่ยุติธรรมเหล่านี้ แต่ใจลึกๆ ก็อยากมีความสุขจริงๆ จังๆ กับเขาบ้าง
ทั้งหมดเหล่านี้ ส่งผลให้ความใจเย็นของคนไทยค่อยๆ หายไป กลายเป็นความอึดอัดที่พร้อมระเบิดออกมา
แต่เดิมเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ นักเศรษฐศาสตร์ก็ว่าความสุขจะมาได้ด้วยการวัดอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(Gross Domestic Product - GDP) แล้วก็ดูตัวเลข ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวต่อคน
แต่เอาเข้าจริงๆ ความเจริญกลับไม่ได้กระจาย หากกลับกระจุกตัวมากยิ่งขึ้น และความเหลื่อมล้ำต่างๆ ทั้งรายได้ คุณภาพชีวิต โอกาส และการได้รับการดูแลการบริการ ก็เหลื่อมล้ำกันมากขึ้น
การจะร้องเรียน เรียกร้องให้มีการแก้ไขเพื่อให้มีความยุติธรรม มีความเที่ยงธรรมก็ยากลำบาก เพราะหาผู้รับฟังไม่ ทั้งที่ภาษีก็จ่ายทั้งทางตรง (ส่วนน้อย) และทางอ้อม (ทุกคน) ถูกรีดไถเป็นธรรมดา แล้วไม่รู้มีผู้แทนราษฎรและมีข้าราชการ (รับใช้ประชาชน) กันไว้ทำไม
แต่ที่สำคัญก็คือ GDP นั้นไม่สามารถบ่งบอกว่า มีความสุขหรือไม่ หรือมีแล้วมากน้อย พอเพียงหรือไม่
ฉะนั้น แทนที่จะวัดกันที่ตัวเลขกันอย่างเดิม เราควรหันมาวัดกันที่จิตใจดีกว่า
ประเทศภูฏาน ประเทศที่เล็กที่สุดประเทศหนึ่ง ประเทศถูกปิดล้อม ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Landlocked) กลับกลายมาเป็นผู้นำโลกในเรื่อง เอาเรื่องความสุข ความพึงพอใจในชีวิตมาเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่วัดที่มีเงินดอลลาร์ เงินรูปี เงินบาท ในกระเป๋าเท่าใด
แล้วจะทำอย่างไรกัน เพื่อจะได้ happy happy และ happy กัน
ภูฏาน เขาก็เริ่มที่การอยู่ให้ได้กับธรรมชาติแวดล้อม เคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ ที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของเทวดา ภูตผีปีศาจ แล้วภูฏานก็บอกว่าไม่ต้องตะกละตะกลามด้วยรายได้จากการท่องเที่ยว เอาจำนวนต่างชาติที่ได้เข้ามาทำลายประเพณีวัฒนธรรม อัตลักษณ์ชีวิตความเป็นอยู่ ความสงบและความปลอดภัย และเขาคิดค่าเข้าประเทศอย่างเป็นระบบทัดเทียมกันเพื่อคุมจำนวนและคุมคุณภาพ และรักษาความเป็นภูฏาน
รายได้นำไปสู่การพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตให้ทัดเทียมเขามุ่งเน้นเรื่องการศึกษาและการสาธารณสุขเป็นอย่างมาก
ในโลกตะวันตก เพราะความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุเขามันพร้อมหมดแล้ว ไม่ต้องต่อสู้ชีวิตขั้นพื้นฐาน แต่มีการสำรวจออกมาเมื่อไม่นานมานี้ว่า อะไรที่จะทำให้คนยุโรปมีความสุขจริงจัง
คำตอบคือ สุขภาพที่ดี และการได้รับการบริการที่ดี กับการมีการศึกษาและโอกาสการได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น และก็แน่นอน ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่าย เพราะได้จ่ายภาษี (สูง) ให้กับรัฐแล้ว
กลับมาที่ประเทศไทย แล้วเราทั้งหลายจะมีความสุขได้จริงจังกันอย่างไร ก็ต้องร่วมคิดร่วมทำ
แต่ในชั้นนี้ ผมขอเสนอ 2 อยาก คือ
1. อยาก ทำให้รัฐ (ส่วนรวม) กับ
2. อยาก ให้รัฐหรือสังคมทำให้
ในกรณีแรก ก็ต้องเพียรพยายามเป็นพลเมืองที่ดี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของสาธารณะ
- ทุกคนร่วมกันเสียภาษีรายได้
- ร่วมรับผิดชอบต่อส่วนรวม ในการไม่กลัว ไม่เกรงในคนเลว
ในส่วนที่สอง ผมอยากเห็นสังคมไทยมี
- ความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
- ความสะดวก ด้วยราคาย่อมเยาในค่าเดินทางประจำวัน
- การมีที่อยู่อาศัยทุกคน
- การเข้ารับการรักษาพยาบาลที่คลินิก และที่โรงพยาบาลใดก็ได้
- การเล่าเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี
- การมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ ในเรื่องสาธารณประโยชน์ทั้งมวล
- การปฏิรูป ชำระล้างวงการศาสนาที่เลวร้าย เป็นต้น
ก็ขอเชิญชวนมาคิด มาทำแผนนโยบายประเทศไทย เรื่อง Happiness เพื่อที่จะนำพาสังคมไทยให้กลับไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขกันอีกหนกันครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี