จากข่าวลือกรณีรัฐมนตรีบางท่านยื่นหนังสือลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ตลอดจนกระแสข่าวการปรับครม. ที่คาดว่าจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ และเชื่อว่าเป็นผลมาจากการเขย่าการเมืองในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่กระทบหลายฝ่าย ทั้งเรื่องตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก5 ราย และการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มนิสิต นักศึกษา และนักเรียนจากหลากหลายสถาบันทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวเนื่องกันบางส่วนและอาจนำไปสู่การยกระดับการชุมนุม หรือการเปลี่ยนแปลงการเมืองในครม.หรือในสภาหรือไม่?
ซีกรัฐบาลก็แสดงให้เห็นถึงความเหนียวแน่นและเข้มแข็งในสภา จากผลโหวตหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับคะแนนโหวตไว้วางใจ 272 คะแนน จากผู้เข้าร่วมประชุม 323 คน พล.อ.ประวิตรได้รับคะแนนสูงที่สุดถึง 277 คะแนน และร.อ.ธรรมนัสได้คะแนนน้อยที่สุด 269 คะแนน ซึ่งคะแนนที่เพิ่มมานี้อาจเป็นเพราะมี สส.บางส่วนจากฝ่ายค้านยกมือให้ด้วย โดยมีกระแสว่า สส. 9 คน ย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย และมีกระแสข่าวอีกว่าอาจมี สส.อีก 5 คน จะย้ายตามมาเข้าร่วมกับพรรคร่วมฯพรรคอื่นซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคะแนนเสียงที่เริ่มทิ้งห่างฝ่ายค้านมากยิ่งขึ้นทำให้พล.อ.ประยุทธ์หายใจโล่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้การลาออกจากพรรคร่วมฝ่ายค้านของพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่นำโดยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่? และแม้นายมิ่งขวัญจะอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มุ่งเป้าโจมตีไปที่การบริหารงานของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พรรคเศรษฐกิจใหม่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมรัฐบาล
แน่นอนว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนที่นั่งของสมาชิกสภาฯของพรรคร่วมรัฐบาล จะส่งผลต่อการปรับที่นั่งครม.ให้เป็นไปตามจำนวนโควตาของแต่ละพรรคหรือไม่? แม้นายกฯจะพูดแล้วว่าการปรับที่นั่งครม.ประยุทธ์ 2/1 จะไม่ให้กระทบพรรคร่วมรัฐบาล แต่จะปรับโควตารัฐมนตรีในสัดส่วนที่นั่งของพรรคพลังประชารัฐ? อย่างน้อยการออกมาเช่นนี้ก็เป็นการยืนยันว่าจะมีการปรับครม.เกิดขึ้นเร็วๆ นี้แน่นอน หลายคนมุ่งเป้าไปที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล นายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตม สาวนายน ที่ถูกโจมตีอย่างหนักเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ และข่าวกรณีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์รมว.การอุดมศึกษาฯ ที่ไม่ได้เป็นสส.และไม่ได้มีกลุ่มสส.สนับสนุนเหมือนกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ จากพรรค พปชร. เมื่อมีกระแสข่าวเช่นนี้นายสุวิทย์จึงออกมาแสดงความรู้สึกผ่านโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว “เมื่อได้รับโปรดเกล้าฯให้เป็นรัฐมนตรีก็ทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่คิดว่าหากมีปรับ ครม. และคัดเลือกรัฐมนตรีด้วย 3 เหตุผลนี้ ประเทศไทยคงไม่มีทางหลุดจากวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ที่สร้างปัญหาซ้ำซากแบบเดิมก็ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ได้”
นายกฯจะสามารถจัดการความไม่พอใจเช่นนี้ และสร้างสมดุลภายในพรรคพลังประชารัฐและในพรรคร่วมได้หรือไม่? ซึ่งที่ผ่านมา การบริหารเก้าอี้ที่นั่งรัฐมนตรีภายในพรรคร่วมรัฐบาล พรรคใหญ่สุดมักต้องเสียสละเสมอ
แต่ก็มีเรื่องอื่นให้พล.อ.ประยุทธ์ได้กังวลใจเพิ่มขึ้น คือการจุดประเด็นการชุมนุมการเมืองของกลุ่มนิสิต นักศึกษา และนักเรียน ที่เกิดขึ้นหลายแห่งทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่มีการตัดสินคดียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ออกมาแสดงความไม่พอใจกับคำตัดสินของศาลฯใช่หรือไม่? โดยเริ่มจากการที่สส.พรรคอนาคตใหม่ ออกมาเริ่มจุดประเด็นที่บริเวณที่ทำการพรรค ต่อเนื่องมาถึงความไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลรวมไปถึงการตั้งข้อสงสัยที่ไม่ยอมให้มีการต่อเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในสภาเพื่อปกปิดข้อมูลที่จะถูกอภิปรายบางอย่างหรือไม่? รวมไปถึงประเด็นการสืบทอดอำนาจในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จึงเป็นเหตุผลหลักที่สร้างความไม่พอใจในกลุ่มคนรุ่มใหม่
แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนของเป้าหมายการชุมนุมว่าจะยกระดับไปสู่จุดหมายหรือมีข้อเรียกร้องอะไรกันแน่? เพราะหากต้องการให้นายกฯลาออกจากตำแหน่งก็ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะต้องกลับไปพิจารณาจากรายชื่อผู้ที่เคยถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกฯของพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ดี หรือหากข้อเรียกร้องดำเนินมาสู่การล้มรัฐธรรมนูญก็มีคำถามว่าหากยังอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลเดิมจะดำเนินไปได้ด้วยวิธีใด? หรือเพียงต้องการให้คนที่กลุ่มตนเองสนับสนุนได้กลับเข้ามาในเวทีการเมือง? โดยมีการออกมาให้สัมภาษณ์ของแกนนำนักศึกษา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ว่าจะมีการยกระดับการชุมนุมของนักศึกษาอย่างแน่นอน แต่ยังสรุปไม่ได้ว่าจะเป็นในรูปแบบใดการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและการเคลื่อนไหวของกลุ่มอนาคตใหม่นอกสภาที่ดูจะสอดคล้องกัน ก็อาจทำให้รัฐบาลต้องมานั่งวางแผนครั้งใหญ่เพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว ว่าจะสามารถสร้างความเข้าใจในกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้หรือไม่? แต่น่าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ที่ยังเป็นหัวหน้าคสช.เลย
ในขณะที่ทางด้านฝ่ายค้านต้องยอมรับว่า ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ตั้งแต่กรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งทำให้สส.พรรคอนาคตใหม่ บางส่วนย้ายข้างไปร่วมรัฐบาลก็ถูกโจมตีจากคนในพรรคเองและจากประชาชนที่สนับสนุน บางส่วนไปอยู่ร่วมฝ่ายค้านพรรคอื่นๆ และยังเหลือบางส่วนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคณะอนาคตใหม่ รอการเปิดตัวพรรคใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 มี.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม จำนวนสส.ของพรรคใหม่นี้ลดน้อยลงแน่นอน จาก 80 คน อาจเหลือประมาณ 55 คน นอกจากนี้ก็ยังส่งผลต่อการต่อรองเชิงอำนาจในสภาของพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันในฐานะที่คะแนนเสียงลดลง จากเหตุผลที่กล่าวมาซึ่งเห็นได้ชัดจากการจัดอันดับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝั่งอนาคตใหม่เองก็แสดงออกถึงความมั่นใจก่อนการอภิปรายว่าได้คัดเลือกสส.และประเด็นที่จะนำมาโจมตีรัฐบาลได้อย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดทุกคนและถูกมองว่าไม่สามารถบริหารจัดการเวลาได้ และนอกจากนี้ยังมีประเด็นว่าไม่สามารถต่อรองกับผู้นำฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยได้? เห็นได้จากมติฝ่ายค้านที่ดูไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้อ.ปิยบุตร ต้องออกมาทวิตเตอร์วิจารณ์พรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างรุนแรง? สร้างความสงสัยอย่างมากกว่าสุดท้ายแล้วพรรคใหม่จะอยู่ได้อย่างไรหากแม้แต่พรรคใหญ่ยังไม่ร่วมมือร่วมใจกัน รวมไปถึงการมองจากคนภายนอกว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่ยอมรับความจริงหลังการตัดสินยุบพรรคหรือไม่? และอาจถูกมองว่ากำลังปลุกระดมให้คนรุ่นใหม่ออกมาชุมนุมประท้วง เพื่อปกป้องพวกพ้องตนเองหรือไม่? โดยเฉพาะอาจมีการเชื่อมโยงกันของกลุ่มผู้ชุมนุมกับอนาคตใหม่ อย่างมีการยกกรณีนายเพนกวิน แกนนำนักศึกษา ที่เป็นแกนนำชุมนุม ที่เคยปรากฏรายชื่อเป็นถึงผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ถึงแม้จะมีการออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีการสนับสนุนจากพรรคอนาคตใหม่ ก็ตามแต่อาจเกิดคำถามจากสังคมได้
รวมไปถึงพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ก็มีความขัดแย้งกันเองภายในพรรคจนต้องมีการออกมาเรียกร้องให้มีปฏิรูปพรรคเพื่อสมานแผล ซึ่งความขัดแย้งนี้ก็เกิดขึ้นจากรอยร้าวภายในพรรคที่มีมานานแล้วจากความไม่ชัดเจนในการส่งมอบอำนาจให้กับแกนนำพรรคว่าใครที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจและกำหนดทิศทางของพรรค ที่แท้จริง อาทิ นายสมพงษ์คุณหญิงสุดารัตน์ หรือร.ต.อ.เฉลิม ยังไม่นับรวมเรื่องรายบุคคลที่มีความสำคัญต่อพรรค เช่น นายชัชชาติ ที่ก็เคยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯในการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารพรรคในเวลาต่อมาสักเท่าไร
ความสับสนภายในหรือความขัดแย้งลักษณะนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือการยุบอนาคตใหม่แล้ว แต่ในช่วงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายฝ่ายจะเห็นบทบาทของสมาชิกสภาฯจากกลุ่มอนาคตใหม่ที่โดดเด่น จนอาจกลบบทบาทจากแกนนำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่หากนับคะแนนเสียงหรือการต่อรองในสภาต้องยกให้พรรคเพื่อไทยที่มีคะแนนเสียงสูงที่สุด 135 เสียง เกมในสภาจึงถูกกำหนดโดยพรรคเพื่อไทย อีกเหตุผลหนึ่งในการสร้างรอยร้าวในเพื่อไทยโดยเฉพาะกลุ่มหัวเก่าในพรรค ที่ออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีรัฐบาลและสนับสนุนนักศึกษาที่ออกมาชุมนุม ในขณะที่สส.เพื่อไทยส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเดินเกมในสภาจะดีกว่า?
อีกไม่นานคาดว่าคงได้เห็นผู้มีอำนาจตัวจริงของพรรคออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเขย่าลูกพรรคให้จัดแถวเป็นระเบียบระบบเหมือนอย่างเคย หรืออาจจะได้เห็นเกมที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ทั้งในสภาเพราะเป็นพรรคที่มีคะแนนมากที่สุด และเกมการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ตลอดจนจุดยืนของเพื่อไทยกับการเดินเกมการเมืองนอกสภา และต้องยอมรับว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่จะไม่อาจเดินเกมนอกสภาได้สุดทาง ถ้าขาดมวลชนมากประสบการณ์อย่างกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่เคยผ่านการชุมนุมมาก่อนเป็นแกนนำหรือผู้สนับสนุน
“รอยขาดของเสื้อผ้าเย็บปะได้ แต่บาดแผลในหัวใจมิว่า
ผู้ใดก็ไม่อาจเย็บสมาน”
(โกวเล้ง จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี