นานกว่าสองเดือนมาแล้วที่คนไทยจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในอาการเสมือนคนตื่นตูม เพราะข่าว (ทั้งข่าวลือและข่าวจริง) เรื่องเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า โควิด-19
อาการตื่นตูมของคนไทยจำนวนไม่น้อยอันเนื่องมาจากเชื้อโรคที่ว่านี้ส่งผลให้สังคมเกิดความโกลาหลไม่ใช่น้อย จนทำให้เกิดปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนในท้องตลาด แต่ถ้าหากจะมีขายอยู่บ้าง ก็มีราคาแพงกว่าเดิมหลายสิบเท่า แต่ที่มากกว่านั้นคือ ปัญหาความแตกตื่นนี้ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาชี้หน้าด่าประจานกันเอง โดยเฉพาะกรณี PINOY หรือที่คนไทยเรียกว่า ผีน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ยังแสดงให้เห็นว่ายังมีคนไทยจำนวนหนึ่งที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเพราะทั้งๆ ที่ตนเองมีอาการป่วยด้วยโรคโควิด-19 แต่กลับจงใจปกปิดอาการป่วยของตนเอง จนทำให้ผู้อื่นต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างมากมายจนเข้าขั้นเดือดร้อนแสนสาหัส
ยกกรณีตัวอย่าง นายทหารอากาศยศพลอากาศโทรายหนึ่งที่เข้าไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลบีแคร์ (โรงพยาบาลนี้ตั้งอยู่บริเวณไม่ไกลจากอนุสรณ์สถานดอนเมือง) แต่ทว่านายทหารอากาศรายดังกล่าวกลับจงใจปกปิดว่าตนเองเพิ่งกลับมาจากประเทศที่อยู่ในข่ายสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และมิหนำซ้ำยังจงใจไม่บอกความจริงกับแพทย์ผู้ให้การรักษา จนในที่สุดเมื่อเรื่องแตก ก็ส่งผลให้ทั้งแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อีกหลายสิบคนในโรงพยาบาลบีแคร์ได้รับผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรง ตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนทราบคือ พยาบาลรายหนึ่งที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับนายทหารอากาศยศพลอากาศโทรายนั้นถูกรังเกียจจากเจ้าของหอพักที่พยาบาลรายดังกล่าวพักอาศัยอยู่ จนถึงกับมีป้ายประกาศติดไว้ที่หน้าหอพักเอกชนแห่งที่พยาบาลคนดังกล่าวพักว่า ไม่อนุญาตให้พยาบาลรายนั้นเข้าไปในหอพัก จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด-19
นอกจากนั้นยังพบว่ามีความตื่นตูมเกิดขึ้นในสังคมไทยอีกมากมาย เช่น สายการบินไทยออกประกาศงดให้บริการหมอน ผ้าห่ม ผ้าร้อนกับลูกค้าผู้ใช้บริการของสายการบิน โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโควิด-19 (แต่การบินไทยยังคงให้บริการผ้าเย็นแบบสำเร็จรูปชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง) รวมทั้งยังสั่งห้ามลูกเรือสตรีในฝ่ายบริการผู้โดยสารบนเครื่องบิน (Air Hostess) สวมชุดไทยในระหว่างการให้บนเครื่องบินที่เดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งชุดไทยนั้นถือเป็นชุดประจำของการบินไทย อันเป็นเอกลักษณ์ของการบินไทยมาตลอดระยะเวลา 60 ปี
นอกจากนี้ยังพบว่าตามห้างร้านต่างๆ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าชื่อดังของไทยนั้นมีจำนวนลูกค้าลดหายไปอย่างเห็นได้ชัด จนขนาดที่อาจจะกล่าวได้ว่า บางห้างสรรพสินค้านั้นดูแล้วไม่ต่างไปจากห้างฯร้างเพราะไม่มีลูกค้าเข้าไปใช้บริการในห้างฯ ส่งผลที่ปรากฏเป็นรูปธรรมคือห้างมาบุญครอง (MBK) ต้องลดค่าเช่าพื้นที่ให้กับผู้เช่าร้อยละ 10-20เป็นระยะเวลา 6 เดือน ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล ระบุว่ารายได้ลดลงร้อยละ 1 ส่วนเอเชียทีค ลดค่าเช่าพื้นที่ค้าขายลดร้อยละ 20 ห้างแพลทินัม ประตูน้ำ ได้รับคำร้องเรียนจากผู้เช่าพื้นที่ว่าไม่มีผู้เข้าไปซื้อสินค้า และขอให้เจ้าของห้างลดค่าเช่าพื้นที่ลงร้อยละ 50
ต้องถือว่านี้คือวิกฤตการณ์สำคัญที่กำลังเกิดกับคนไทยในยุคนี้ นับเป็นวิกฤตการณ์ทั้งด้านสาธารณสุข และวิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจ และยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะธุรกิจด้านสายการบินระหว่างประเทศ การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศโรงแรม ธุรกิจบริการ และระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะโรงงานที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีน ที่ต้องประสบปัญหาการหยุดชะงักการผลิต ซึ่งเรื่องนี้กินระยะเวลามาตั้งแต่ช่วงตรุษจีนปีนี้
ส่วนธุรกิจการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศได้รับผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงมากที่สุด การเดินทางทุกชนิด ทั้งเพื่อการท่องเที่ยว การประชุมสัมมนา การจัดการแสดง การละเล่นต่างๆล้วนได้รับผลกระทบด้านลบพร้อมหน้ากัน เพราะมีคำสั่งทั้งห้ามประชาชนเดินทางออกไปยังประเทศต่างๆ ที่เชื่อว่ามีเชื้อโควิด-19 ระบาด และยังสั่งห้ามคนจากประเทศต่างๆ ที่เชื่อว่ามีเชื้อโควิด-19 ระบาดเดินทางเข้าประเทศไทย
เมื่อธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยพังทลาย ก็ส่งผลกระทบอย่างหนักไปถึงภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สายการบิน โรงแรม รับเช่าสำหรับให้บริการนักท่องเที่ยว ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร และมัคคุเทศก์ ส่วนธุรกิจอื่นๆ ที่แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบด้านลบตามไปด้วย เช่น การจัดสัมมนา การจัดการประชุม การจัดการแสดง การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ระบุว่าข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้ลูกค้าของห้างที่เป็นชาวต่างชาติหายไปเกือบหมด โดยระบุว่าลูกค้าที่เป็นชาวต่างประเทศของห้างมีจำนวนร้อยละ 30-40 ของลูกค้าทั้งหมด และจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติหายไปแล้วร้อยละ 10-20 แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้ยังไม่จบลงในระยะเวลา 2-3 เดือนจากนี้ไป จะส่งผลต่อรายได้ของห้างอย่างน้อยร้อยละ 1 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 8 จากปี 2562ซึ่งห้างมีรายได้ 38,104 ล้านบาท
นี่คือตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย และคาดกันว่าหากปัญหาอันเกิดจากโควิด-19 ยังไม่ยุติลงโดยเร็วภายใน 2 เดือนนับจากนี้ไปจะส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอย่างสาหัสกับสังคมไทยอย่างแน่นอน
นอกจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว โควิด-19 ยังก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาด้วย โดยเฉพาะปัญหา PINOY หรือผีน้อย ที่ถูกนำตัวกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คนไทยในบ้านเมืองของเราต่างหันมาชี้หน้าด่าทอกันไป-มา จนราวกับว่าคนที่กำลังด่าทอกันนั้นไม่ใช่คนไทยด้วยกัน
ส่วนปัญหาหน้ากากอนามัยขาดตลาด ขาดหนักเสียจนหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลหลายแห่งไม่มีหน้ากากอนามัยใช้ขณะปฏิบัติงานจนหมอในโรงพยาบาลหลายแห่งต้องเขียนประกาศติดไว้ว่า หมอไม่มีหน้ากากอนามัยใช้ ขอร้องคนไข้และญาติคนไข้ว่ากรุณาอย่าขโมยหน้ากากอนามัย และพบด้วยว่าโรงพยาบาลหลายแห่งต้องจำกัดการใช้หน้ากากอนามัยสำหรับหมอและพยาบาล
เมื่อหน้ากากอนามัยกลายเป็นของหายาก ก็ทำให้เกิดปัญหาหน้ากากอนามัยราคาแพงหลายสิบเท่า และเกิดปัญหาสินค้าขาดตลาดด้วยนอกจากนั้นยังเกิดปัญหาการนำหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วกลับมาขาย รวมถึงปัญหาหน้ากากอนามัยปลอม หรือไม่ได้คุณภาพ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้วในบ้านเมืองเรา
ขอย้ำว่าปัญหาโรคโควิด-19 นั้น คือปัญหาด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยของประชาชน ปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการมีสติของประชาชนทุกคน ผสมกับการมีสติปัญญาของรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้ให้ตรงประเด็น แต่ที่ผ่านมานั้น ประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความเห็นตรงกันว่าแม้จะดูเหมือนว่าคนไทยป่วยด้วยโรคนี้ไม่มากนักก็ตาม แต่ถึงกระนั้นสังคมไทยก็ยังมีปัญหาเพราะโรคนี้ทุกวันโดยบางครั้งปัญหาก็มาจากข่าวลือ แต่บางครั้งปัญหาก็มาจากคำพูดของรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยจะเห็นว่ารัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลนี้ออกประกาศประหลาดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโรคโควิด-19 แต่เมื่อสังคมตั้งคำถามกับคำประกาศของรัฐมนตรีรายดังกล่าว ต่อมาเพียงไม่นานรัฐมนตรีรายนั้นก็ลบข้อความในเฟซบุ๊คของตนออกไป (เรื่องนี้ถูกสังคมมองว่าเป็นเรื่องของความไม่ได้ความของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข)
ปัญหาเรื่องหน้ากากอนามัยขาดตลาดก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สาธารณชนตั้งคำถามไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะปัญหาสินค้าขาดตลาดและสินค้าราคาแพงหลายสิบเท่า เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาที่รัฐบาลได้พบเจออยู่เป็นประจำ แต่ก็ดูเสมือนว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างทันการณ์
ปัญหาเรื่องโควิด-19 คงจะยังดำเนินต่อไปในสังคมไทยอีกระยะเวลาหนึ่ง แต่ปัญหานี้จะถูกบรรเทาลงไปได้ก็ด้วยสติปัญญาของคนไทย (ขอย้ำว่าของคนไทย ไม่ใช่ของรัฐบาล) ถ้าหากคนไทยส่วนใหญ่มีสติและมีปัญญารู้เท่าทันปัญหาของโรคโควิด-19 แล้ว ปัญหานี้จะไม่สามารถทำให้คนไทยตื่นตูมได้อีกต่อไป อย่าลืมว่าโรคนี้ก็คือโรคชนิดหนึ่ง ต่อให้โรคนี้ร้ายแรงสักเพียงใด แต่ถ้าหากคนไทยรักษาสุขภาพอนามัยให้ดี ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ไม่พาตัวไปเสี่ยงกับโรคนี้ แต่ก็ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเสียเลยเพราะความตื่นตูมตกใจกลัว หรือดีแต่ฝังตัวเองอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลาโดยไม่ออกไปไหน และถึงแม้จะต้องออกไปอยู่ภายนอกหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตรายต่อโรคนี้ ก็ต้องระวังป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งเมื่อสัมผัสสิ่งของนอกบ้าน ชำระล้างร่างกายให้สะอาดโดยทันทีทุกครั้งเมื่อกลับเข้าบ้านกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ และทำใจให้ปลอดโปร่งโล่งสบาย ทำให้ใจสงบ อย่าตื่นตูมจนเกินเหตุ ขอย้ำว่าโรคภัยไข้เจ็บทุกโรคนั้นหากเรารักษาตัวให้ดี หรือหากเราเจ็บปวดแล้วรีบไปพบแพทย์ที่สามารถรักษาโรคได้ตรงประเด็น เราทุกคนก็สามารถหายจากอาการป่วยได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ปัญหาโรคโควิด-19 ร้ายแรงหนักขึ้นกว่าเดิมคือความไร้สติของประชาชน ยิ่งถ้าหากประชาชนไร้สติมากเท่าไร ปัญหาโรคโควิด-19 และทุกๆ ปัญหาก็จะลุกลามบานปลายมากกว่าเดิม ดังนั้นขอให้ทุกคนมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา และอย่าตื่นตูม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี