เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง หลังกระเพื่อมแรงมารอบหนึ่งแล้ว หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครั้งนั้น มี สส.ประชาธิปัตย์บางส่วนต้อง “ฝืนใจ” ลงมติไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อทำตามเสียงส่วนใหญ่ในพรรค ในอันที่จะรักษา “มารยาท” (ยุคนี้เป็นยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เขาถือเอา “มารยาท” สำคัญกว่าหลักการและอุดมการณ์)
คงจะจำกันได้ว่า 28 ก.พ.2563 - เมื่อเวลา 09.15 น.ที่รัฐสภา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พร้อมด้วยนายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช นายอันวาร์สาและ สส.ปัตตานี และนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงก่อนโหวตญัตติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล
โดยนายสาทิตย์กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุมหารือถึงการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ซึ่งในบรรดานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี 5 คนที่ถูกอภิปรายได้ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหา หรือแม้แต่บางคนยังไม่ถูกอภิปราย แต่ก็ได้ชี้แจงไปบ้าง โดยที่ประชุมของพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่ามีจำนวน 5 คน ที่เราไม่ติดใจ แต่มีการถกกันมากในกรณีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ มีการยกเหตุผล ว่าจะลงมติกันอย่างไร สส.จำนวนมากในพรรคเห็นว่า ร.อ.ธรรมนัสไม่สามารถชี้แจงได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคดีที่ประเทศออสเตรเลีย ทั้งคุณวุฒิการศึกษา และประเด็นอื่น รวมถึงมีการหยิบยกประเด็นอื่นๆ กันขึ้นมา เพื่อหารือว่าจะลงมติกันอย่างไร
“จนในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ต้องใช้วิธีลงมติกัน ถือเป็นครั้งแรกที่ต้องใช้วิธีนี้ ผลปรากฏว่า เห็นควรลงมติไว้วางใจ 24 เสียง และลงมติไม่ไว้วางใจ 17 เสียง ถือเป็นเสียงไม่ไว้วางใจที่มีค่อนข้างมาก” นายสาทิตย์ กล่าวและว่า “พวกผม 4 คน อยู่ใน 17 เสียง ที่เห็นว่ายังไม่ควรไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติเช่นนี้ เราจำเป็นต้องดำเนินการตามมติพรรค”
ส่วนที่ต้องออกมาแถลงข่าวนี้ ก็เพื่อต้องการส่งสัญญาณถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่า การได้เสียงไว้วางใจจะนับเฉพาะในสภาไม่ได้ ควรจะฟังเสียงประชาชนภายนอกด้วย ซึ่งกระแสความไว้ไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัสนั้น เป็นที่กังขาอย่างมาก จึงขอเรียกร้องไปยังผู้นำรัฐบาลจะต้องหยิบประเด็นนี้ไปทบทวน หยิบประเด็นนี้ไปคำนึงถึงอย่างสำคัญและเอาจริงเอาจัง
“เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการสะท้อนความรู้สึกของประชาชนภายนอก จึงจำเป็นต้องแถลงจุดยืนว่า ทั้ง17 คน จำเป็นต้องทำตามมติพรรค แต่นายกรัฐมนตรีต้องนำความติดใจกังวลใจและข้อกังขาของส่วนหนึ่งในพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงประชาชนสัญญาณดังกล่าวหวังว่านายกรัฐมนตรีจะรับฟังและนำไปสู่การทบทวน เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลที่ต้องขึ้นอยู่กับความไว้วางใจของประชาชนทั่วประเทศ”นายสาทิตย์กล่าว
ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็น “ทุนสะสม” เป็น “ความระทม” ในใจใครบางคนที่ดำรงอยู่คู่กับ “ความอับอาย” ที่นำมาสู่การปะทุขึ้นอีกครั้ง ในไลน์กลุ่ม สส. พรรคประชาธิปัตย์ หลังมีข่าวลูกน้องธรรมนัสไปพัวพันกับการกักตุนหน้ากากอนามัย ในขณะที่แพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านการแพทย์ ตลอดจนประชาชนไม่มีใช้ มีการตั้งประเด็นขึ้นในไลน์ว่า “เราควรเลิกพายเรือให้โจรนั่ง” แล้วหรือยัง?
นายสามารถ มะลูลีม ถึงกับพิมพ์ข้อความเข้าไปในไลน์ดังกล่าวว่า
“วันนั้นถ้าเราไม่ไว้ใจธรรมนัส สักคน เราจะดูดีมากในสายตาประชาชน ยกมือไปแต่หัวใจร้องไห้ พรรค ปชป.ถ้าไม่มีเรื่องอุดมการณ์ เราจะแข่งกับคนอื่นยากครับจุดแข็งเราคืออุดมการณ์ ความศรัทธา ที่มีมากกว่าพรรคอื่น”
คำของนายสามารถนี่แหละ ที่ต้องขีด “เส้นใต้บรรทัด”ลงไปอย่างแรง เพราะมันเป็นคำย้ำถึง “ตัวตน-หลักการ-อุดมการณ์” ที่เป็นทั้งจุดขายและจุดแข็งที่แท้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหลายคนถือเคร่ง และบางคนมองว่ายืดหยุ่นได้ งดเว้นได้ ตามสถานการณ์
มันน่าตีความมากว่า “พายเรือให้โจรนั่ง” นี่ เป็นข้อความชั้นเดียวหรือ 2 ชั้น
พวกเขาหมายถึง พวกเขาต้องพายเรือให้คนบางคนไปเป็นรัฐมนตรี และต้องพายเรือเพื่อรักษารัฐบาลด้วยหรือเปล่า?
นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ข้ามห้วยมาจาก “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ไม่ต้องเป็น สส.ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ ปชป.มาร่วมรัฐบาลเรามาตามมติพรรค เพราะฉะนั้นการมาบอกว่าพายเรือให้โจรนั่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความจริงมีหนังสือให้ทบทวนมติเมื่อคืนวันที่ 17 ก.พ. และวันที่ 24 ก.พ.ประเด็นนี้ตนคิดว่าใน ปชป.ต้องพูดคุยกัน อย่างไรก็ตาม พวกตนที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ก็ทำหน้าที่กันเต็มความสามารถ ต้องการทำให้เห็นว่า ปชป.เวลามาร่วมรัฐบาลเราก็ทำงานได้ ทำงานเป็นเหมือนกัน ไม่ใช่ดีแต่พูด ดังนั้น ที่บอกว่ามาพายเรือให้โจรนั่งนั้นต้องทบทวนคำพูดให้ดี พูดแล้วมันบั่นทอนกำลังใจคนทำงานเหมือนกัน คิดว่าถ้ามีปัญหาอะไร ปชป.ควรมานั่งพูดคุยกันในพรรค มากกว่าจะพูดตามสื่อข้างนอก และประดิษฐ์ถ้อยคำตำหนิคนอื่น เพราะคนที่ทำงานเขาก็เสียกำลังใจเหมือนกัน
ส่วนตัวเห็นว่าถ้าพรรคมีมติอย่างไรต้องปฏิบัติตามนั้น เพราะตอนที่ร่วมรัฐบาลตอนนั้นพรรคก็มีมติเสียงข้างมากที่ค่อนข้างจะเด็ดขาดด้วยซ้ำที่ให้มาร่วมรัฐบาล แล้วจะมาบอกว่าคนที่มีเสียงข้างมากลงมติให้ไปพายเรือให้โจรนั่งนั้น ต้องคิดรอบคอบ อย่าประดิษฐ์ถ้อยคำแล้วไปตำหนิคนอื่น
เมื่อถามว่า คนที่ออกมาพูดจะเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่ออกมาตำหนิรัฐบาล คิดว่า เขาต้องการอะไร หรือเป็นเพราะเขาไม่ได้ตำแหน่ง นายนิพนธ์กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นอะไร สำหรับตนพยายามที่จะไม่พูดถึงปัญหาเหล่านี้ในที่สาธารณะ ถ้าพูดในพรรคควรจะจบในพรรค แต่ถ้าพูดต่อหน้าสาธารณะทุกวัน เอาเรื่องภายในมาพูดข้างนอกทุกวัน มันก็สะท้อนให้เห็นว่าต้องมีอะไรที่ผิดพลาดบางอย่างต้องมานั่งพูดคุยกัน พรรคเป็นของทุกคน ปชป.อยู่มาได้ทุกวันนี้เพราะมติพรรค ไม่มีคำสั่งของใครคนใดคนหนึ่งที่จะมาสั่งคนทั้งพรรคได้ นอกจากมติพรรค
“และไม่อยากคิดว่า คนที่ออกมาพูดเพราะอยากมีตำแหน่งอะไร ผมเคารพความเห็นต่าง ไม่เคยตำหนิว่าเสียงข้างน้อยจะเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ต้องดูว่าเสียงข้างมากเป็นอย่างไรก็ต้องปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นเราจะเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างไร ที่ผ่านมาเราเคยมีบทเรียนมาแล้ว หากไม่เคารพมติเสียงส่วนใหญ่ของพรรคจะเป็นอย่างไร จะเอาเสียงข้างน้อยมาเป็นมติพรรคไม่ได้ คนเราอยู่ด้วยกันต้องให้เกียรติกัน ดังนั้น ปัญหาทุกอย่างต้องคุยกันด้วยเหตุผล อย่าเอาความรู้สึกของคนใดคนหนึ่งที่ไม่ชอบใครคนใดคนหนึ่งมาเป็นมติพรรค ไม่เช่นนั้นพรรคจะอยู่ด้วยกันไม่ได้”
นายนิพนธ์คงลืมไปว่า การเข้าร่วมรัฐบาลนั้นมี “เงื่อนไข” ไม่ใช่พลีทุกอย่างให้แล้วไม่ต้องทบทวนอะไรเลย
เงื่อนไข 3 ข้อ จากการแถลงเข้าร่วมรัฐบาลของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบันคือ 1.ต้องทำนโยบายประกันรายได้ 2.ต้องแก้รัฐธรรมนูญ (ที่หัวหน้าพรรคคนนี้ชี้ว่า เป็นประชาธิปไตยวิปริต) 3.ห้ามมีการทุจริต
เมื่อเกิดเหตุอันต้องสงสัยว่า รัฐมนตรีธรรมนัส อาจไปพัวพันกับการกักตุนหน้ากากอนามัย มัน “มีเชื้อ” ให้คนมีหลักการเขา “เปิดประเด็นคุยกัน” ได้ครับ คุณนิพนธ์ก็ควรจะแย้งเพียงว่า ให้เขาตรวจสอบกันให้ชัดเจนก่อนก็จะดีกว่า
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางส่วน เสนอให้พรรคถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เลิกพายเรือให้โจรนั่ง โดยนายกฯตอบด้วยสีหน้านิ่งๆว่า “ก็ถอนไปสิ” เมื่อถามว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวขึ้นมาจริง นายกฯกล่าวว่าก็ตอนนี้เขายังไม่ถอนนี่ เมื่อถามว่าแต่พรรคประชาธิปัตย์บอกจะทบทวนมติของพรรคที่โหวตไว้วางใจให้กับ ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯกล่าวว่า เป็นเรื่องของเขาให้ไปถามพรรคประชาธิปัตย์ดูสิ
เห็นอะไรไหมครับ เห็นความไม่สนใจไยดีต่อข้อเรียกร้องให้ทบทวนเรื่อง “ธรรมนัส” เห็นความไม่แคร์ ไม่สนใจ จะอยู่จะไปก็เรื่องของพวกเธอ
ในความเห็นของผม ประชาธิปัตย์จึงควรใช้เวลาในช่วงปิดสมัยประชุม “จัดประชุมและทบทวนจุดยืน” พร้อมหาข้อสรุป ดังที่ นายอันวาร์ สาและ สส.ปัตตานี เสนอไว้ ไม่ใช่เลื่อนการประชุมทั้งหลายไปเพียงเพราะกลัวโควิด-19
ประชาธิปัตย์ได้รับการตอบสนองเรื่องนโยบายประกันรายได้เท่านั้นครับ แต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ถูกเบี่ยงไปเป็น “การศึกษาการแก้ไข” และเรื่องทุจริต ซึ่งเป็นเงื่อนไขใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ต้อง “จริงจัง” ให้มากกว่า “ห่วงทำงาน” เพราะหากจะทำงานโดยไม่รักษาหลักการ/อุดมการณ์ที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ก็ควรยุบพรรคหรือย้ายพรรคไปอยู่พลังประชารัฐกันเสียเลย
เทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกมองเป็น “แกะดำ-ตัวป่วน” ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ข่าวฟ้าวันใหม่” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องฟ้าวันใหม่อย่างชัดเจนว่า
“ตนจะต่อสู้ต่อไป ไม่คิดออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะตนเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่เป็นสถาบันทางการเมือง มีอุดมการณ์ และเป็นอุดมการณ์เดียวกับที่ตนเชื่อคนที่ไม่เชื่อ ไม่ยึด ในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ต่างหาก ที่ต้องออกไป”
ผมคิดว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ถกเถียงกันมานาน-หลายยก แต่ไม่เคยมีบทสรุป เรื่องความเห็นที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการ “เข้าร่วมรัฐบาล”
ประเด็นนี้ วนไปเวียนมา ถกเถียงและกินแหนงแคลงใจกันไปทีละเล็กละน้อย จนเผลอๆ กว่าจะได้ข้อยุติว่า จะ “พายเรือให้โจรนั่ง” ต่อไป หรือจะ “หยุดพาย” นั้น ประชาธิปัตย์อาจอยู่ในสภาพ “แพแตก” เสียก่อนก็เป็นได้
การถอนตัวออกมาเป็นอิสระ หนุนในเรื่องที่ควรหนุนค้านในเรื่องที่ควรค้าน ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นจริงจัง ไม่เหยาะแหยะและมองเป็นเรื่องการเมืองอย่างพรรรคฝ่ายค้านที่มีในเวลานี้ รัฐบาลและบ้านเมืองอาจจะดีขึ้นมาก็ได้ ที่สำคัญ คนไทยกำลังต้องการ “ฝ่ายตรวจสอบ” ที่จริงจังและเข้มแข็ง ซึ่งนั่น-คือดีเอ็นเอสำคัญของประชาธิปัตย์
เผลอๆ การตรวจสอบที่ดี ที่ทรงประสิทธิภาพนั้น อาจเป็นผลงานที่โดดเด่น น่าจดจำ น่าศรัทธา ยิ่งกว่างานที่ทำ ภายใต้การเป็นเด็กดีของรัฐบาลเสียทุกประการอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี