เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสไปร่วมฟังการอภิปรายเรื่องสถานะของลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งแม่น้ำโขงนั้นไหลผ่าน จีน ลาว เมียนมา ไทย กัมพูชา และเวียดนาม เท่ากับว่าทั้ง 6 ประเทศนี้เป็นเจ้าของร่วมกัน และมีผลประโยชน์และความรับผิดชอบร่วมกัน ฉะนั้น ต่างจะต้องร่วมมือกันรักษาแม่น้ำโขงเพื่อความยั่งยืน และความอยู่รอดของประชากรประมาณ 60 ล้านคน ที่ฝากชีวิตกับการพึ่งพาแม่น้ำโขง ยังไม่นับรวมประชากรอีกเป็นร้อยๆ ล้านคนที่ต้องพึ่งไฟฟ้าจากเขื่อนทั้งบนตัวลำน้ำโขงและสาขาต่างๆ โดยปัจจุบันมีเขื่อนอยู่แล้วประมาณ 100 เขื่อน และยังอยู่
ในระหว่างการก่อสร้าง และในการวางแผนร่วมกันแล้วอีกประมาณ 100 กว่าเขื่อน ซึ่งส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดเป็นไปเพื่อการผลิตไฟฟ้าเป็นสำคัญ สะท้อนการละทิ้งการสร้างความสมดุลระหว่างการเกษตร และวิถีชีวิตชาวถิ่น กับการผลิตไฟฟ้าเชิงธุรกิจการค้าเพื่อการกำไร
ในการอภิปราย มีผู้ร่วมอภิปราย 4 คน เป็นคนไทย 1 คน และต่างชาติ 3 คน โดยทั้งหมดมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สถานะของลุ่มแม่น้ำโขงในวันนี้เข้าขั้นวิกฤติ (Tipping Point) หรือถึงจุดจะกู่ไม่กลับเสียแล้ว หากยังจะตะบี้ตะบันสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้ากันต่อไป
อะไรบ้างที่เป็นจุดบอกเหตุร้ายแรงนี้ ก็มีเช่น
1. น้ำใสเป็นสีฟ้า (Clear blue water) บ่งบอกว่า ในน้ำนั้นขาดพืชมีชีวิตต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรกุ้ง ปู ปลา และความสมดุลทางธรรมชาติ และความเกี่ยวโยงพึ่งพา ระหว่างพันธุ์สัตว์ พันธุ์พืช และวัชพืชต่างๆ
2. พื้นที่ชุ่มชอุ่ม (Wet Land) ยุบตัวลง ส่งผลให้พืช สิงสาราสัตว์ล้มหายตายจากไปเป็นธรรมดา รวมทั้งการเพาะปลูกก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
3. โตนเลสาบ (Tonle Sap) บึงน้ำจืดใหญ่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง และแหล่งผลิตปลาน้ำจืดร้อยละ 50 ของโลกทั้งหมดบัดนี้จับปลาได้น้อยลงมาก คือปริมาณลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งสะท้อนการลดหายไปของความอุดมสมบูรณ์ และวิถีชีวิตและความอยู่รอดของชาวประมงรายย่อยของกัมพูชา
4. การสร้างเขื่อนขวางกั้น กระทบการไหลทวนน้ำไปวางไข่ และแม้ว่าจะมีการทำอุโมงค์ให้ปลา ก็ไม่เพียงพอ ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ปลาก็น้อยลง ความสมดุลของชีวภาพก็ทลายลงไปด้วย
5. จีนเป็นผู้สร้างเขื่อนที่อยู่ต้นน้ำโขง เมื่อเขื่อนจีนไม่ปล่อยน้ำ ก็ทำให้ประเทศกลางทางและปลายทางแห้งขอดหากปีใดฝนไม่มาตามฤดูกาล ก็จะเกิดกลียุคแน่
6. ข้อดีหนึ่งเรื่อง ซึ่งต้องให้เครดิตต่อรัฐบาลประยุทธ์ก็คือการปฏิเสธข้อเสนอของจีนที่จะให้มีการทำลายแก่งเกาะในแม่น้ำโขง เพื่อความสะดวกในการเดินเรือ (แนวคิดข้อเสนอนี้ของจีน อาจเป็นการสำรองเส้นทางไว้กรีธาทัพลงใต้ก็เป็นได้)
อะไรคือทางออกบ้าง ก็มีอาทิ
1. การยุติการสร้างเขื่อนไฟฟ้า เพราะความจริงคือ ไฟฟ้ามีเพียงพอเกินความต้องการ แต่การสร้างเขื่อนเพิ่มขึ้นมีเป้าหมาย หรือผลประโยชน์แอบแฝง ทั้งนักลงทุน ทั้งผู้จัดจำหน่ายไฟฟ้า ทั้งนักขายของ เครื่องผลิตไฟฟ้าต่างๆ แต่กลุ่มธุรกิจค้ากำไร (อาจสามานย์ด้วย) ไม่ได้ใส่ใจคิดถึงความยั่งยืนของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตดั้งเดิม อาชีพประมง เกษตร และเก็บของป่าค้าขาย และการเป็นที่อยู่อาศัยของสิงสาราสัตว์ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมือง ฝ่ายรัฐบาลต่างๆ ก็ดูจะแกล้งทำเป็นหูหนวก ตาบอด หรือจมูกถูกจูงด้วยกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ก็ต้องถูกปลุกให้ตื่นกันได้แล้วรวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดติดแม่น้ำโขงต่างๆ ด้วย
2. ผมได้ถือโอกาสเสนอให้มีการจัดทำความตกลง 6 ประเทศ ว่าด้วยการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขง (โปรดดูจากบทความ “การจัดการแม่น้ำไนล์ เทียบกับแม่น้ำโขง” หนังสือพิมพ์แนวหน้า คอลัมน์เขียนเพื่อคิด ฉบับวันพุธที่29 มกราคม 2563) ทั้งนี้ตัวอย่างการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขง สามารถดูได้จาก การจัดการแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ของสหรัฐอเมริกา หากจะมองแม่น้ำนานาชาติ ก็ลองดูแบบอย่างของ แม่น้ำไนล์ แม่น้ำดานูบ แม่น้ำไรน์ ได้ (ผมเคยไปเยี่ยมเยือนสำนักงานกลางแม่น้ำดานูบ ที่กรุงบูดาเปส และได้เสนอให้ทางการไทยศึกษา ประสานงาน แต่เรื่องก็ดูเงียบๆ ไป นอกจากนั้น ผมได้เคยจัดประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเรื่องก็ขาดความต่อเนื่อง)
3. จัดให้มีการสำรวจ จัดทำแผนที่ รวบรวมสถิติต่างๆและผลกระทบ จากการสร้างเขื่อน อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา
4. ปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตไฟฟ้า ให้หันไปพึ่งพิงพลังแสงอาทิตย์ ลม และพืช แทนการใช้พลังงานน้ำเป็นหลัก
5. ผู้นำ 5 ประเทศ ต้องกล้าหาญ ยกเรื่องทั้งหมดเจรจากับจีนตัวปัญหาหลัก แทนที่จะมัวเกรงอกเกรงใจจีน หรือทำตัวเหมือน “ถูกซื้อ” หรือมัวคิดกลัวว่า หากแข็งขืนแล้วจีนจะไม่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้ามา แต่รัฐบาลต้องเอาคน(เกษตรกรชาวบ้าน) มาเป็นตัวตั้ง
6. เดิมเป็นโลกสงครามเย็น การร่วมมือเกี่ยวกับแม่น้ำโขงจึงมีกันแค่ 4 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมื่อไม่นานมานี้จีนริเริ่มจัดตั้งการร่วมมือล้านช้าง-แม่น้ำโขง โดยเน้นเรื่องการพัฒนาและวิชาการ แต่ก็ยังไม่มีเรื่องการทำความตกลง 6 ประเทศ ว่าด้วยการบริหารจัดการทั้งลำน้ำ เท่ากับว่าแม่น้ำโขงมี 2 องค์กรอันมีลักษณะต่างคนต่างอยู่ ทั้งคู่ต้องถูกยุบทั้งหมดมารวมกันเป็นสำนักงานกลางภายใต้ความตกลง 6 ประเทศ
ทั้งนี้ในกรณีไทย รัฐบาลต้องเอาใจใส่อย่างจริงจังจะปล่อยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ว่าไปคนเดียวก็กระไรอยู่เพราะนี่เป็นเรื่องระหว่างประเทศ นอกจากเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนไทยหลายจังหวัด แล้วยังส่งผลโดยอ้อมต่อคนไทยโดยทั่วไปอีกด้วย ฝ่าย กฟผ. ไม่ควรจะคิดแต่ “งานผลิตเพื่อขายไฟฟ้า” เพียงอย่างเดียว จะต้องมองให้กว้าง ให้เห็นถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของมนุษย์ด้วย
ในเรื่องแม่น้ำโขงนี้ หากจะพอแก้ปัญหากันได้ รัฐบาลต้องลงมาเป็นเจ้ามือ เจ้าภาพ ทันที อย่ามัวรอช้าจนไม่ทันการ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี