สังคมไทย เป็นสังคมที่เข้าใจยาก นักการเมืองส่วนใหญ่พร่ำบ่นอยู่เสมอ ที่จะก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งคณะนายทหารและผู้เข้าร่วมในการยึดอำนาจทุกครั้ง ก็ประกาศความตั้งใจที่จะนำพาประเทศเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย แต่ในที่สุดก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน
พรรคใหม่ๆ ที่จัดตั้งขึ้น ก็ยังไม่มีพรรคไหนจะใช้ชื่อพรรคว่า “พรรคประชาธิปไตย” ก็ยังคงมีแต่พรรค “ประชาธิปัตย์” เป็นชื่อที่ใกล้เคียงที่สุดกับ “ประชาธิปไตย” แต่กระบวน “ประชาธิปไตย” ภายในพรรค ก็อาจจะขาดปัจจัยอะไรบางประการที่จะอำนวยการให้พรรคไปถึงฝั่งฝัน แต่กลับมีการบั่นทอนภายใน ทำให้ประชาธิปัตย์ที่ดูทำท่าจะโตใหญ่ก็ถูกบั่นทอนโดยยากจะทราบสาเหตุ
ตามความคิดเห็นของผู้เขียน ที่อาจจะหลงละเมอเพ้อพกว่าการศึกษาสามารถสร้างสรรค์ได้แทบทุกสิ่ง แม้แต่สร้างเยาวชนให้มีจิตใจประชาธิปไตย และรู้สึกดีใจที่พรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายสร้างคนให้เป็นพลเมืองที่มีทัศนคติเป็นประชาธิปไตย แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ยิน-ได้เห็นรัฐบาลชุดใดดำเนินการต่อ
อันที่จริง ตั้งแต่ท่านชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2526-2529 ท่านดำริที่จะส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน เพื่อฝึกฝนให้เยาวชนได้มีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการประชาธิปไตย แต่โครงการที่ดีดังกล่าวนี้ มักขาดการส่งเสริมในสมัยหลัง และกระทรวงศึกษาธิการก็เริ่มอ่อนแอลงไปมากในสมัยต่อมา เมื่อมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีแทบทุกๆ ปี ในยุคทักษิณหนึ่ง และในสมัยหลังนี้ก็แทบไม่มีมืออาชีพทางการศึกษาได้เข้าไปดูแลกระทรวงศึกษาฯ เลย
อันที่จริง ผู้นำในสังคมไม่ว่าจะเรียนจบมาทางสาขาใดหรือไม่จบอุดมศึกษา (ตามแฟชั่น) แต่หากเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ก็สามารถจะเป็นผู้นำที่ดีที่สุดได้ทั้งนั้น ยกตัวอย่าง มหาบุรุษ เช่นลินคอล์น ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ ช่วงสงครามกลางเมือง ค.ศ. 1861-1865 ที่ชาวอเมริกันและชาวโลกยกย่องให้เป็นมหาบุรุษของโลก ท่านก็ไม่เคยไปเรียนในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยของรัฐ แต่ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต และประกอบกับเป็นผู้มีความจำดี จึงจดจำบทต่างๆ ในพระคัมภีร์ และบทกวีของนักกวีที่ยิ่งใหญ่ของโลก เช่น เช็กสเปียร์, โรเบิร์ต เบิร์นส์ และไบรอน เป็นที่อัศจรรย์ของเพื่อนร่วมงาน และนักการเมืองสมัยนั้น
ที่แปลกและที่น่าอัศจรรย์ ก็คือ ท่านประธานาธิบดีลินคอล์นเป็นนักเล่านิทานที่แฝงอารมณ์ขันและ “สัจธรรม” ของชีวิตชาวบ้านรวมทั้งนิทานของอีสป ผู้เป็นนักเล่านิทานที่ยิ่งใหญ่ของโลก และท่านประธานาธิบดีลินคอล์น ก็จะเล่าให้ผู้คนได้ฟังในเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เพื่อตอกย้ำแนวคิดหรือข้อสรุปที่ท่านต้องการ ยกตัวอย่างเช่น นิทานอีสป เรื่อง “ราชสีห์มาขอลูกสาวคนตัดฟืน”
ในช่วงแรกของการเข้าสู่ตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกากำลังจะแตกออกเป็น 2 ฝ่าย - ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้มลรัฐทางใต้ เช่น เซาท์แคโรไลนา (South Carolina) เป็นผู้นำฝ่ายใต้ที่เป็นมลรัฐที่มีทาส และไม่ต้องการให้ทาสหมดไปจากสังคม ขณะที่ฝ่ายเหนือ มีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) เป็นสำคัญ ต้องการขจัดระบบทาส จึงเกิดการโต้แย้ง และมลรัฐฝ่ายใต้หลายรัฐรวมตัวกันประกาศเป็นอิสระจากฝ่ายเหนือ และที่สำคัญ จะยกกองกำลังเข้ายึดป้อมค่ายซัมเตอร์ ซึ่งเป็นป้อมค่ายในความดูแลรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ ลินคอล์น ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี ก็เรียกประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไรดี จะส่งกำลังไปช่วยกองกำลังของฝ่ายรัฐบาลที่ป้อมซัมเตอร์ หรือจะปล่อยให้ฝ่ายใต้เข้ายึด
การถกเถียงกันในคณะรัฐมนตรี แตกแยกเป็น 2 กลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ยอมปล่อยให้ฝ่ายใต้เข้ายึดครอง กับกลุ่มที่ต้องการจะส่งกองกำลังไปเสริม ประธานาธิบดีคนใหม่ก็ยังหาทางออกไม่ได้ หากจะส่งกองกำลังไปช่วย ก็เกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าก่อสงคราม หากไม่ส่งไป ก็ดูจะแสดงความอ่อนแอเกินไป จึงเล่านิทานเรื่องราชสีห์กับลูกสาวคนตัดฟืนให้คณะรัฐมนตรีฟัง โดยใจความย่อๆ ว่า
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชสีห์ตัวหนึ่ง หลงรักลูกสาวคนตัดฟืนจึงมาสู่ขอ ผู้เป็นพ่อจึงกล่าวว่า “ฟันของเจ้าดูจะยาวเกินไป ไม่น่ารัก” ราชสีห์จึงไปหาหมอฟัน และให้ถอนฟันซี่ดังกล่าว เมื่อกลับมาพบคนตัดฟืนก็ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า “เล็บมือของเจ้าดูจะยาวเกินไป” ราชสีห์กลับไปหาหมอฟัน เพื่อถอนเล็บดังกล่าว และกลับมารายงานเพื่อขอรับตัวเจ้าสาว ฝ่ายคนตัดฟืนเมื่อสังเกตเห็นว่าราชสีห์หมดทั้งเขี้ยว ทั้งเล็บ จึงเอาไม้กระบองฟาดหัวราชสีห์ถึงแก่ความตาย (Donald T. Phillips. (1992). Lincoln on Leadership: Executive Strategies for Tough Times,p.89)
ท่านประธานาธิบดีลินคอล์น จึงสรุปว่า เหตุการณ์เช่นนี้ คงเกิดขึ้นแก่พวกเราแน่นอน หากเราไม่ส่งเสบียงและอาวุธไปช่วยกองกำลังของเราที่ป้อมซัมเตอร์
ที่ประชุมก็คงงุนงงเกินกว่าจะโต้ตอบท่านประธานาธิบดีผู้ยึดหลักของสามัญสำนึกของปราชญ์ชาวบ้าน
สงครามกลางเมืองจึงระเบิดขึ้น โดยฝ่ายเหนือก็ไม่ถูกตำหนิจากมลรัฐอื่นๆ และสงครามครั้งนี้ ต้องสู้กันถึง 3 ปีเศษ โดยฝ่ายเหนือได้ชัยชนะและรวมเป็นสหรัฐดังเดิม แต่ด้วยปณิธานใหม่ซึ่งประธานาธิบดีประกาศไว้ ณ หลุมฝังศพเกตตีสเบิร์ก ซึ่งสรุปว่า “การปกครองของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน จะดำรงอยู่ตลอดไป” ส่วนลินคอล์น ก็กลายเป็นที่เคารพบูชาของชาวอเมริกันจนกระทั่งทุกวันนี้ ในฐานะผู้ให้กำเนิดใหม่แห่งอเมริกา ที่ได้เป็นรัฐสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง ปราศจากทาส ที่ขจัดโซ่ตรวนหรือพันธนาการที่คอยร้อยรัด เป็นตัวถ่วงแก่การดำเนินชีวิตของสามัญชนทั่วไป
สังคมไทยก็เช่นกัน อะไรคือตัวถ่วงมิให้เราก้าวไปสู่สังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทุกคนอาจเชื่อว่าปัจจัยการศึกษาคือปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดพฤติกรรมของผู้คนมิให้ล้ำเส้นของการใช้อำนาจ และธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในการตัดสินปัญหาของการขัดแย้งกันในสังคม ทัศนคติและอุดมการณ์ หรือระบบคุณค่าที่น่าจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมดังกล่าว ฉะนั้นการจัดการศึกษาในมิติของสังคม-การเมือง-และจริยธรรม จึงควรจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญตั้งแต่ระดับเด็กเล็ก จนกระทั่งจบปริญญาตรี ขณะเดียวกัน การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ ตั้งแต่ (หรือก่อน) การปฏิวัติ 2475 จนกระทั่งปัจจุบัน ก็เป็นภารกิจที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง และการจัดการศึกษาในมิตินี้ ไม่จำเป็นต้องไปลดเวลาของวิชาอื่นๆ ทางวิทยาศาสตร์ หรือศิลปศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ แต่อย่างใด เพียงปรับมิติของการเรียนรู้ปัญหาทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม โดยเฉพาะมองไปที่พฤติกรรมมนุษย์ในความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ ที่จะลดความเอาเปรียบและความรุนแรง หรือการชกใต้เข็มขัด หรือนิยมการใช้กำลัง (อาวุธ) เข้าตัดสินปัญหา หากครูโรงเรียน อาจารย์มหาวิทยาลัย ได้ปรับกระบวนการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับชีวประวัติบุคคลสำคัญ โดยเน้นกระบวนการทางการเมือง เช่น ชีวประวัติลินคอล์น และผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบิล คลินตันเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล มหาตมะ คานธี คอนราด อาเดนาวร์อูถั่น-เลขาธิการสหประชาชาติ ฯลฯ ก็จะช่วยหล่อหลอมบุคลิกนิสัยของเยาวชนคนไทยให้เป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ และอนาคตใหม่ที่แท้จริง “สัจจัง เว อมต วาจา”
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี