กิจการผลิตและจำหน่ายยาสูบเป็นอุตสาหกรรมการเกษตรที่เก่าแก่มากว่า 100 ปี นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมเป็นกิจการที่มีรายได้งาม ปัจจุบันเป็นกิจการที่อยู่ในยุคที่เรียกว่าดิสรัปชั่น (Disruption) กำลังจะล่มสลายตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนชาวไทยทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่สูบบุหรี่ประมาณ 10 ล้านคนพ้นจากพิษภัยของโรคที่มาจากการบริโภคบุหรี่ทุกชนิด นโยบายนี้แม้จะเป็นนโยบายที่ดีแต่การใช้นโยบายได้นำไปสู่การทำลายระบบอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่บุกเบิกจากการเข้ามาตั้งกิจการผลิตยาสูบของบริษัท บริติชอเมริกัน โทแบ็คโก้ จำกัด (มหาชน) บริษัทยักษ์ใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก ในอุตสาหกรรมนี้ตั้งแต่ปี 2453
การยาสูบแห่งประเทศไทยเดิมป็นรัฐวิสาหกิจเก่าแก่ที่ตั้งขึ้นในวันที่ 20 เมษายน 2482 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8ผ่านไป 80 ปี กิจการนี้ใกล้จะเป็นกิจการที่ล่มสลาย หรือดิสรัปชั่นไปพร้อมๆ กับชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศ 20 จังหวัดประมาณ 50,000 ครอบครัว ที่กำลังจะล้มหายตายจากตามไปด้วยเพราะระบบภาษีสรรพสามิตที่สูงลิบลิ่วในปัจจุบันตามนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศใช้มาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 11 มีนาคมนี้ ชาวไร่ยาสูบได้ไปร้องเรียนที่สภาผู้แทนราษฎร เผยว่ากลุ่มหมอเอ็นจีโอไม่เข้าใจชาวไร่วอน กมธ. การเงินฯ สภาผู้แทนราษฎรฟังเสียงผู้ได้รับผลกระทบตัวจริงชี้ขึ้นภาษีบุหรี่ 40% ยิ่งทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ชาวไร่หมดอาชีพ พร้อมยื่นหนังสือผ่าน สส. พื้นที่ปลูกยาสูบจี้รัฐยกเลิกภาษีบุหรี่ 40% และหาแนวทางช่วยเหลือชาวไร่ระยะยาว นายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายก
สมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตัวแทนภาคีชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย ชาวไร่ยาสูบสามสายพันธุ์จากภาคเหนือ อีสานและเพชรบูรณ์-สุโขทัย กล่าวหลังเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการเงิน การคลังฯ สภาผู้แทนราษฎร ว่าความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบจากการขึ้นภาษีบุหรี่ 40% ถูกพูดถึงมาโดยตลอดในสภาผู้แทนราษฎร แต่รัฐบาลก็ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน
แถมฝ่ายรณรงค์ต่อต้านยาสูบกลุ่มเอ็นจีโอได้เสนอแนวทางแก้ไขแทนชาวไร่ที่ได้รับผลกระทบตัวจริงเช่น ให้ชาวไร่เปลี่ยนอาชีพ ซึ่งไม่ได้เป็นแนวทางที่ชาวไร่ต้องการและไม่สามารถแก้ไขปัญหาและสร้างรายได้ให้กับเราได้จริง ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการ ได้เชิญนักวิชาการและสมาพันธ์เครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการสูบบุหรี่ มาให้ความเห็นเรื่องนี้ โดยนักวิชาการและนักรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ได้ออกมาเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลพิจารณาเลื่อนภาษี 40% ในเดือนตุลาคม 2563ที่จะถึงนี้ เพราะไม่ได้เป็นการช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบและเสนอให้มีการช่วยเหลือชาวไร่ด้วยการสนับสนุนการเปลี่ยนอาชีพและให้ตั้งกองทุนเพื่อปลูกพืชทดแทนยาสูบ
กลุ่มชาวไร่ยาสูบจำนวนกว่า 30 คน จากเชียงใหม่ ลำปาง สุโขทัย เพชรบูรณ์ และอีกหลายจังหวัดในภาคอีสาน ที่เดินทางมาพบคณะกรรมาธิการต่างแสดงความไม่พอใจต่อข้อเสนอดังกล่าว และเห็นว่านักรณรงค์ต่อต้านเห็นแก่ตัวและมองแต่เรื่องสุขภาพอย่างเดียว ไม่เข้าใจและไม่เคยฟังเสียงสะท้อนของต้นน้ำอุตสาหกรรมยาสูบ คนรากหญ้าแบบชาวไร่ยาสูบ เพราะปัจจุบันไม่มีการปลูกพืชชนิดใดที่สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพได้เหมือนยาสูบ ซึ่งทำกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6
นายสุครีพ บุญชุ่ม นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบจังหวัดสุโขทัย กล่าวเพิ่มเติมว่าการทำไร่ยาสูบแม้จะเหนื่อยและยากลำบาก บางปีก็ต้องประสบปัญหาภัยธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่มีพืชชนิดใดที่ให้
ผลตอบแทนได้มากเท่าการปลูกยาสูบ พวกเราต้องโดนการยาสูบลดโควตาลง 50% เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน เพราะภาษีบุหรี่แพงเกิน รายได้ของพวกเราก็หายไปกว่าครึ่งด้วย ขายยาสูบได้ก็แทบจะไม่พอใช้หนี้ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีชาวไร่สุโขทัยฆ่าตัวตายเพราะหนี้สินและความยากจนไปแล้วหนึ่งคน หรือต้องให้มีคนฆ่าตัวตายอีกเป็นศพที่สองรัฐบาลจึงจะเห็นใจพวกเรา
ปัญหาของชาวไร่ยาสูบมาจากการขึ้นภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อมหาดไทยแบบสุดโต่งก็ต้องแก้ด้วยการปรับลดหรือชะลอการปรับขึ้นอัตราภาษีออกไปก่อน ซึ่งการแก้ปัญหาเร่งด่วนทำได้โดยการเร่งจ่ายเงินชดเชยที่ให้ชาวไร่กว่า 50,000 ครอบครัว และเลื่อนการขึ้นภาษีอัตรา 40% อัตราเดียวออกไปก่อนในระยะยาว หากรัฐบาลต้องการเก็บภาษีเพื่อไม่ให้คนสูบบุหรี่ รัฐก็ค่อยๆ ขึ้นทีละนิดก็ได้ถ้าขึ้นภาษีตอนนี้อีกเท่าตัวจะเป็นการทำร้ายชาวไร่ยาสูบซ้ำสอง อีกหลังจากปรับภาษีไปก่อนหน้านี้จนถูกตัดโควตาไป 2 ปีซ้อนแล้ว
อยากให้คณะกรรมาธิการ ฟังความเดือดร้อนของชาวไร่ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากการขึ้นภาษีบุหรี่อย่างรอบด้านและรอบคอบ แทนที่จะฟังความข้างเดียวจากกลุ่มต่อต้านบุหรี่ที่ไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของชาวไร่เลย
ตัวเลขจากรายงานประจำปี 2553 ถึงปี 2562 ของการยาสูบแห่งประเทศไทยระบุว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ระบุว่า ปี 2553 มีกำไร5,817 ล้านบาท หลังจากนั้นอีก 8 ปี มีกำไรตลอด คือ ปี 2554 กำไร 5,788 ล้านบาทปี 2555 กำไร 6,656 ล้านบาท ปี 2556 กำไร 7,488 ล้านบาท ปี 2557 กำไร 6,275 ล้านบาทปี 2558 กำไร 3,170 ล้านบาท ปี 2559 กำไร8,861 ล้านบาท ปี 2560 กำไร 9,343 ล้านบาทปี 2561 กำไร 6,345 ล้านบาท และปี 2562 ขาดทุน 2,454 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 80 ปี คนที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้น่าจะมี 2 คน ได้แก่ พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เท่านั้น
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี