กลุ่มคนที่ติดตามเรื่องราว (แสนประหลาดมหัศจรรย์ ชวนให้ขนหัวลุกได้ตลอดเวลา) ของการบินไทย “สายการบินแห่งชาติ” มาโดยตลอดคงมีคำถามเหมือนๆ กันว่า เมื่อไรหนอ การบินไทยจะมีผู้บริหารเบอร์หนึ่งขององค์กรเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญในธุรกิจสายการบิน (airline business) อย่างจริงๆ จังๆ ไม่ใช่จับใครก็ไม่รู้ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์บริหารธุรกิจสายการบินพาณิชย์ไปนั่งกินตำแหน่ง DD (กรรมการผู้อำนวยการใหญ่) ของการบินไทย เพราะที่ผ่านมาหลายปีนั้น คนที่เป็นเบอร์หนึ่งการบินไทยถูกสาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์จนบางครั้งถึงขั้นประณามว่า “ผิดฝา ผิดตัว” put the wrong man (woman) on the wrong job
แรกเริ่มนั้น การบินไทย คือรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นรัฐวิสาหกิจชั้นเยี่ยมยอดที่คนไทยจำนวนมาก (โดยเฉพาะคนในกลุ่มลูกท่านหลานเธอ เหล่าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย) ต้องตบตี แย่งชิง ฟันฝ่า เพื่อผลักดันตัวเองเข้าไปนั่งทำงานในการบินไทยให้จงได้ เพราะในยุคก่อนนั้น การบินไทยสามารถทำกำไรได้มหาศาล และมีกำไรต่อเนื่องมายาวนาน
ลองย้อนกลับไปดูประวัติของการบินไทยสักนิดนะครับ การบินไทยก่อตั้งโดยการร่วมทำสัญญาลงทุนระหว่าง บริษัท เดินอากาศไทยจำกัด กับบริษัทสายการบิน สแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ ซิสเตม (S.A.S.)เมื่อ 24 สิงหาคม 2502 แล้วต่อมา 29 มีนาคม 2503 ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท (ย้ำว่าสองล้านบาทเท่านั้น) บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 70 และ S.A.S. ถือหุ้นร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน แล้วต่อมา วันที่ 30 มีนาคม2520 S.A.S. โอนหุ้นที่ถือทั้งหมดให้บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ซึ่งก็คือยกเลิกสัญญาร่วมทุนไปโดยปริยาย และสุดท้ายได้โอนหุ้นที่ซื้อมาให้กระทรวงการคลัง ตามมติคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้น ดังนั้นคนไทยจึงเข้าใจตรงกันว่า การบินไทยคือสายการบินของคนไทย เพราะมีบริษัทเดินอากาศไทยกับกระทรวงการคลังเป็นผู้ร่วมถือหุ้น จนกระทั่ง 1 เมษายน 2531 คณะรัฐมนตรีในยุคนั้นมีมติให้รวมกิจการระหว่างบริษัทเดินอากาศไทยกับการบินไทย ส่งผลให้มีเงินทุนจดทะเบียนบริษัทเพิ่มเป็น 2,230 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำการบินไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 3 พันล้านบาท โดยนำหุ้นเพิ่มทุนส่วนแรกจำนวน 100 ล้านหุ้น ราคาหุ้นตามมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และให้นำออกขายให้ประชาชน (ซึ่งหากคุณจำได้ ก็จะนึกออกในทันทีว่าในยุคนั้นคนจำนวนมากมายตะเกียกตะกายแย่งซื้อหุ้นการบินไทยกันจนแทบจะเหยียบกันตาย แต่สุดท้ายหุ้นการบินไทยก็ไม่เคยทำให้คนที่ได้มันไปครอบครองยิ้มออกเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้หลายคนที่ยังถือหุ้นการบินไทยในยุคแรกไว้ บอกตรงกันว่า ฉันถือขยะไร้ค่าไว้ในมือมาหลายสิบปีแล้ว) จริงๆ แล้วยังขายหุ้น 5 ล้านหุ้นให้พนักงานการบินไทย ตามราคาหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนที่เหลืออีก 95 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป เพราะต้องการระดมทุนจากภาคเอกชน และมีข้ออ้างว่าเพื่อให้คนไทยที่เป็นเจ้าของหุ้นมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของสายการบิน (เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่หลายคนบอกตรงกันว่าเป็นมหกรรมเบิกเนตรระดับชาติ)
แล้วที่สุดการบินไทยก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2534 เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการแปลงกำไรสะสมเป็นหุ้นเพิ่มทุนจนทำให้บริษัท มีทุนจดทะเบียนสูงถึง 13,000 ล้านบาท แล้วก็มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่อีกหลายครั้ง แล้วก็นำหุ้นออกขายให้ประชาชนอีก ซึ่งการเพิ่มทุนในยุคแรกๆ นั้น รวมถึงการขายหุ้นให้ประชาชนและให้พนักงานการบินไทยในยุคแรกๆ นั้น หลายคนตื่นเต้นอยากครอบครองหุ้นการบินไทย เพราะการบินไทยในขณะนั้นยังให้กำไรสูง หลายคนจึงเชื่อมั่นการบินไทยสูงมาก และการบินไทยในขณะนั้นก็โดดเด่นมาก เนื่องจากมีสถานะเป็นสายการบินชั้นนำของเอเชีย และเป็นสายการบินที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก การบินไทยโดดเด่นมาระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเข้าสู่ทศวรรษ 2550 การบินไทยเริ่มประสบปัญหามากขึ้น และมากขึ้นตามลำดับ สาเหตุสำคัญเพราการบินไทยแข่งขันกับสายการบินอื่นๆ ไม่ได้ (ส่วนที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีนักการเมืองบางรายจงใจทำให้การบินไทยเจ๊งเพราะต้องการฮุบการบินไทยนั้น ก็ต้องไปสืบค้นดูเอาเองว่านักการเมืองคนนั้นมีหน้าตาเช่นไร แล้วปัจจุบันระเห็จไปอยู่ที่แห่งใดบนโลกใบนี้)
แต่จะว่าไปแล้ว ในยุคทศวรรษ 2550 นั้นการบินไทยก็ใช่ว่าจะขาดทุนไปเสียทุกปีไป เพราะในบางปีก็ยังได้กำไรที่งดงามน่าชื่นใจอยู่บ้าง แต่เค้าลางแห่งความเลวร้ายก็คืบคลานเข้าสู่การบินไทยทีละน้อยทีละน้อย จนบางปีการบินไทยไม่มีกำไรจากการขายตั๋วเครื่องบิน แต่กลับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (ซึ่งประเด็นนี้ไม่ถือว่าเป็นผลงานโดยตรงของผู้บริหารการบินไทย เพราะกำไรไม่ได้มาจากการทำธุรกิจโดยตรง แต่ได้กำไรมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา) แต่ก็ต้องยอมรับว่าการบินไทยก็ยังมีกำไรอยู่บ้าง แม้กำไรจะได้มาเสมือนกับถูกหวยก็ตามทีเถอะ
เมื่อการบินไทยเป็นองค์กรกึ่งรัฐกึ่งเอกชนที่เคยทำกำไรสูงมาก ก็ทำให้การบินไทยเป็นเสมือนขุมทรัพย์ของนักการเมืองผู้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ข้าราชการระดับใหญ่คับประเทศที่หิวกระหายเงินรวมถึงทหาร-ตำรวจที่มียศสูงๆ และหิวเงินตลอดเวลา และยังรวมถึงเหล่านักธุรกิจที่มีเส้นสายความสัมพันธ์แบบผลัดกันกิน ผลัดกันเกาหลังกับนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ ต่างจ้องจะเข้าไปรุมโทรมการบินไทยทุกวินาที (ในที่นี้ยังไม่พูดถึงเหล่านักข่าวบางรายที่เข้าไปเกาะกินผลประโยชน์ของการบินไทย แม้นักข่าวบางรายจะได้เกาะกินผลประโยชน์เพียงเศษขี้ตีน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีนักข่าวไม่น้อยเข้าไปร่วมรุมโทรมการบินไทยด้วย แต่ผู้ที่เปิดประตูให้นักข่าวบางรายเข้าไปรุมโทรมการบินไทยก็คือคนของการบินไทย และนักการเมืองที่มีอำนาจเหนือการบินไทย)
และแล้วการบินไทยก็กลายเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ของคนตะกละ หน้าหนา ไร้ยางอาย ใครมีอำนาจรัฐก็ส่งคนของตัวเองเข้าไปรุมโทรมการบินไทย ส่วนคนภายในการบินไทยจำนวนหนึ่งก็ช่วยให้คนข้างนอกเข้าไปรุมโทรมการบินไทยได้สะดวกยิ่งขึ้น
และแล้วการบินไทยที่เคยสวยงาม เป็นที่หมายปองของคนมากมาย ก็กลายเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาใกล้จะเน่า จากองค์กรที่เคยทำกำไรงดงาม ก็กลายเป็นองค์กรที่ใกล้จะล้มละลาย เพราะหนี้สินมากจนท่วมหัวท่วมหู จากองค์กรที่เคยให้โบนัสแสนงามกับพนักงาน ก็กลายเป็นองค์กรที่ไร้โบนัส แต่สำหรับผู้บริหารระดับสูงของการบินไทยก็ยังคงเริงร่ากับผลตอบแทนที่แสนจะอุดมสมบูรณ์เมื่อเทียบกับพนักงานระดับล่างๆ ของการบินไทย
คนการบินไทยยุคเก่าที่เคยได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดีอย่างสูงต่อองค์กร เพราะเคยเห็นว่าการบินไทยมีบุญคุณต่อตนเอง เพราะทำให้ตนเองมีเงินใช้มากๆ มีบ้านดีอยู่อยู่อาศัย มีรถยนต์ดีๆ เป็นเครื่องช่วยเชิดหน้าชูคอ มีความน่าเชื่อถือ เพราะได้ทำงานในองค์กรที่มีเกียรติสูงแต่เมื่อการบินไทยเปลี่ยนไปจนใกล้จะถึงยุคมืด คนการบินไทยจำนวนไม่น้อยก็ลดความภักดีต่อองค์กรลง ส่วนคนไทยที่หมดหวังกับการบินไทยก็ผละหนีไปอยู่องค์กรอื่นที่เห็นว่ามั่นคงกว่า ดีกว่า ส่วนคนจำนวนหนึ่งที่เหลืออยู่ในการบินไทยนั้น ก็มีคละเคล้ากันไประหว่างพวกที่ยังคงมีฝีมือดีน่านับถือกับพวก dead wood ที่ไปไหนไม่รอด ไปไหนไม่ได้ไม่มีใครเอา
การบินไทยในยุคหนึ่งเมื่อครั้งอดีตเคยเฟื่องฟู เป็นที่น่านับถือมาก แต่การบินไทยในยุคหลังๆ มานี้ตกต่ำ เสื่อมโทรม เน่าเฟะไร้ความน่าศรัทธา เรื่องเช่นนี้มีมูลเหตุมาจากอะไร คนการบินไทยต้องตอบได้ แต่ถ้าหากคนการบินไทยตอบไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของคนการบินไทยก็แล้วกัน เพราะเรื่องของตัวเองยังตอบไม่ได้ แล้วจะอยู่ไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ หรืออยู่เพื่อรอวันดับสลาย
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่คนภายนอกการบินไทยตั้งคำถามกันมากมายก็คือ คนที่เข้าไปรับตำแหน่งDD การบินไทยผ่านกระบวนการสรรหาอย่างไร เข้าไปด้วยระบบคุณธรรม (merit system) แท้จริงหรือไม่ หรือเข้าไปได้ด้วยแรงถีบแรงดันของใคร หากผู้ที่เข้าไปดำรงตำแหน่ง DD การบินไทยไม่ได้เข้าไปด้วยระบบคุณธรรมโดยเคร่งครัด ก็หมายความว่าการบริหารงานในการบินไทยก็จะไม่มีวันอยู่ในระบบคุณธรรมอย่างแน่นอน เมื่อองค์กรไม่มีระบบคุณธรรมเสียแล้ว ต่อให้ผู้บริหารองค์กรจะประดิษฐ์วาจาใดๆ ขึ้นมาเพื่อให้องค์กรเติบโตก้าวหน้าต่อไป ก็คงไม่มีหวัง ต่อให้ประดิษฐ์ และพร่ำคำว่า “มนตรา” สักกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีวันรอดพ้น “มลทิน” ไปได้
หลักฐานชัดเจนอย่างหนึ่งที่สาธารณชนเห็นว่าผู้บริหารระดับสูงของการบินไทยไม่น่าจะเคร่งครัดในหลักคุณธรรมคือ เมื่อบริษัทประสบวิกฤติ แต่ผู้นำระดับสูงยังคงไม่แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที และยังคงหวงผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าผลประโยชน์ขององค์กร คือการปรับลดเงินเดือนของผู้บริหารที่แสนมหัศจรรย์ โดยเบอร์หนึ่งของการบินไทยยอมให้ลดเงินเดือน 25% ส่วนระดับรองลงมาคือ EVP ลด 20% ระดับรองลงไป คือ VP และ MD ลด 15% แต่กลับลดเงินเดือนของพนักงานระดับล่าง 30% นี่คือเครื่องยืนยันว่าผู้บริหารระดับสูงของการบินไทยไม่น่าจะเคร่งครัดกับระบบคุณธรรม ส่วนเรื่องการแต่งตั้งบุคคลเข้ารับตำแหน่งบริหารระดับต่างๆ ในการบินไทยโดย DD นั้นก็ถูกตั้งคำถามโดยตลอดเวลาจากประชาคมการบินไทย เพราะถ้าหากเป็นพรรคพวกของตนเองจะมีการเร่งดำเนินการแต่งตั้งโดยทันที แต่ถ้าหากหน่วยงานไหนที่ไม่ใช่พรรคพวกของตนเองแล้ว ก็จะอ้างว่าต้องรอการปรับโครงสร้างก่อน แต่ในขณะที่บอกให้รอการปรับโครงการ ก็มีการแต่งตั้งคนที่ประชาคมการบินไทยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นพรรคพวกของตนเองตลอดเวลา นี่คือคำถามที่ว่าผู้บริหารระดับสูงของการบินไทยมียึดมั่นในหลักการบริหารด้วยระบบคุณธรรมแท้จริงหรือ
ส่วนเรื่องที่คนการบินไทยจำนวนไม่น้อยเห็นตรงกันคือ การแต่งตั้ง DD การบินไทยเป็นเรื่องที่ช่างหาคำตอบชัดเจนได้ยากเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นก็มีคำตอบตรงกันคือ DD ที่ไม่มีสมรรถนะในการบริหารงานก็ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้ เพราะถึงแม้จะมีแรงถีบแรงผลักจากที่ไหนก็ตามให้เข้ามากินตำแหน่ง DD แต่เมื่อไม่มีสมรรถนะก็ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี