โรคติดต่อจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19 (COVID-19)” ที่ระบาดไปทั่วโลกขณะนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อด้านสาธารณสุขในประเทศต่างๆ เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นส่วนใหญ่ต้องอาศัยการรวมตัวพบปะของผู้คนทั้งสิ้น โดยเฉพาะโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่ประเทศต่างๆ เชื่อมร้อยเข้าด้วยกันทั้งการส่งออก-นำเข้า การท่องเที่ยวสังสรรค์ การค้าขาย ฯลฯ
แต่เมื่อโรคระบาดทำให้ต้องมี “ระยะห่างทางสังคม (Social Distance)” เนื่องจากยิ่งมีประชากรหนาแน่นโอกาสที่เชื้อจะกระจายย่อมมีสูง ผู้คนจึงไม่ค่อยออกจากบ้านทั้งโดยความกังวลส่วนบุคคลและโดยมาตรการของรัฐ คนมากมายในห่วงโซ่กิจกรรมเหล่านี้จึงได้รับผลกระทบอย่างหนักเพราะเม็ดเงินที่เคยหมุนเวียนหายไป โดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” หรือปิดเมืองเพื่อสกัดการรวมตัวของคนหมู่มาก ตั้งแต่การปิดสถานที่หลายแห่ง การจำกัดการเดินทางข้ามพื้นที่ หรือสูงสุดคือถึงขั้นห้ามออกจากบ้าน
มาตรการข้างต้นยังนำมาซึ่งผลกระทบทางสังคมคือ “ความขัดแย้ง” อาทิ สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2563 เป็นต้นมา อันเป็นวันแรกตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ปิดสถานบันเทิงยามค่ำคืน โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส ฯลฯ จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2563 เป็นวันแรกตามประกาศของ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ยกระดับขึ้นอีกขั้นด้วยการสั่งปิดเพิ่มอีกรวมถึงร้านอาหารเว้นแต่จะเป็นการขายเพื่อให้นำไปรับประทานที่อื่น ซึ่งก็มีหลายจังหวัดออกประกาศแบบเดียวกันตาม กทม. ในเวลาไล่เลี่ยกัน
และวันที่ 26 มี.ค. 2563 วันแรกของการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เข้าสู่บรรยากาศตรวจเข้มทั้งการเดินทางข้ามพื้นที่ การจัดที่นั่งในระบบขนส่งมวลชนต่างๆ เหล่านี้หากไปดูความคิดเห็นของคนในสังคมที่ถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกผ่านช่องทางออนไลน์ จะพบ “ดราม่า” วิวาทะระหว่างฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านมาตรการของรัฐอย่างดุเดือด
“ปิดร้านแล้วจะเอาอะไรกิน” , “งานหมด-เงินนิ่ง-หนี้ยังวิ่ง..และจะอยู่ทำไม?” คือเหตุผลของฝ่ายไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐ ซึ่งนำไปสู่ภาพคลื่นมหาชนแห่รอขึ้นรถทัวร์และรถไฟเพื่อเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อกลับภูมิลำเนาในเมืองรองหรือชนบท ขณะที่ “ไม่รับผิดชอบต่อสังคม”, “เห็นแก่ตัว” คือเหตุผลของฝ่ายเห็นด้วยกับมาตรการของรัฐ ในการก่นด่าบริภาษผู้คนที่กลับบ้านดังกล่าว
ซึ่งต้องบอกว่า “เข้าใจได้ถึงความกังวลของทั้ง 2 ฝ่าย” ในมุมหนึ่งอยากให้ฝ่ายที่หงุดหงิดเดือดดาลเข้าใจและเห็นใจผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา เพราะปรากฏการณ์แรงงานอพยพย้ายถิ่นจากชนบทหรือเมืองรองไปหางานทำเพื่อให้ชีวิตของตนเองและครอบครัวดีขึ้นมีอยู่ทั่วโลก เมื่อบวกกับประเทศไทยนั้นมีลักษณะเป็นเมืองโตเดี่ยว กรุงเทพฯ คือทุกสิ่งทุกอย่าง แหล่งงานรายได้ดี-สถาบันการศึกษาชั้นนำจำนวนมากตั้งอยู่ที่นี่ จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะดึงดูดคนจากทั่วสารทิศให้เข้ามาเรียนหรือทำงาน
และในเมื่อช่วงแรกๆ ที่ผู้มีอำนาจในภาครัฐเริ่มเสนอให้ปิดสถานที่หรือปิดเมืองสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ไม่พบว่าได้เสนอแผนเยียวยาผลกระทบกับแรงงานตลอดจนผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SMEs) ออกมาพร้อมกัน กว่าจะชัดเจนก็ต้องรอจนถึงบ่ายวันที่ 24 มี.ค. 2563 ที่รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นผู้แถลงข่าวมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งช้าไป 7 วันหลังประกาศปิดกิจการของ กทม. ระลอกแรก (18 มี.ค. 2563) และระลอกสอง (22 มี.ค. 2563) หลายคนจึงเลือกกลับบ้านเกิดดีกว่า อย่างน้อยก็ลดค่าใช้จ่ายได้บ้างทั้งที่พักและอาหาร
เช่นเดียวกัน..ก็ต้องเข้าใจและเห็นใจผู้ที่กังวลว่าแรงงานย้ายถิ่นเหล่านี้จะทำให้การระบาดของไวรัสโควิด-19 กระจายตัวด้วย เพราะเชื้อนี้มีลักษณะพิเศษคือ “สิงร่างคนหนุ่ม-สาวไปฆ่าผู้สูงวัย” สถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากทั่วโลกชี้ไปในทางเดียวกันว่าผู้ป่วยกว่าร้อยละ 80 มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการและสามารถหายได้เอง ราวร้อยละ 15 มีอาการถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล และเกือบร้อยละ 5 มีอาการหนักอาจถึงขั้นเสียชีวิต
ปัญหาคือ “ผู้ที่กำลังติดเชื้อแม้ไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อได้” คนหนุ่ม-สาวที่มาเรียนหรือทำงานในเมืองอาจติดเชื้อแล้วเป็นพาหะนำเชื้อไปแพร่ต่อยังผู้สูงอายุในชนบทซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตมากที่สุดจากไวรัสโควิด-19 โดยช่วงอายุ 20-49 ปี พบอัตราการเสียชีวิตไม่ถึงร้อยละ 1 จากนั้นจึงค่อยเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ โดยอายุ 50-59 ปี อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 1.3 อายุ 60-69 ปีอยู่ที่ร้อยละ 3.6 อายุ 70-79 ปี อยู่ที่ร้อยละ 8 และอายุ 80 ปีขึ้นไป มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 14.8-21.9 อนึ่ง แม้ไม่ใช่ผู้สูงอายุ แต่หากมีโรคประจำตัวเรื้อรังก็เสี่ยงเสียชีวิตสูงเช่นกัน
ฉะนั้นแล้วสำหรับผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของ กรมอนามัย อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา 14 วันด้วย อาทิ 1.หมั่นวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวัน หากสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส และมีอาการอื่นๆ เช่น ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย ให้รีบไปพบแพทย์ 2.ดูแลสุขภาพอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อยร้อยละ 70 ปิดปาก-จมูกด้วยกระดาษทิสชูทุกครั้งที่ไอจาม
3.งดกิจกรรมนอกบ้านและหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้อื่น พยายามเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ หากจำเป็นต้องพบปะผู้อื่นควรสวมหน้ากากอนามัย อยู่อาศัยในห้องแยกต่างหาก การรับประทานอาหารและดื่มน้ำต้องจัดอาหาร-น้ำแยกต่างหาก 4.แยกขยะ เป็นขยะธรรมดา เช่น ถุงพลาสติก ขวด ภาชนะใส่อาหาร ฯลฯ กับขยะติดเชื้อ เช่น หน้ากากอนามัย กระดาษทิสชู และ 5.แยกห้องส้วมหากทำได้ แต่หากทำไม่ได้ ให้ปิดฝาชักโครกแล้วกดน้ำเพื่อป้องกันเชื้อกระจาย และทำความสะอาดส้วมทันที เพื่อจะได้ไม่แพร่เชื้อไปหาคนที่รักโดยไม่รู้ตัว
“ในสถานการณ์วิกฤติแบบนี้มีแต่ประชาชนที่น่าจะเข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกัน” เพราะเมื่อเหลียวดูเส้นทางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงที่ประเทศจีนเริ่มปิดเมืองแต่ฝ่ายไทยยังไม่ยกเลิกการทำวีซ่าปลายทาง(VOA) ของชาวจีน หน้ากากอนามัยขาดแคลนอย่างเป็นปริศนาจนบุคลากรทางการแพทย์ต้องออกมาทวงถาม เวทีมวยยังมีการแข่งขันแม้มีคำเตือนว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงระบาดรุนแรง..เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงพิจารณาได้ว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในบ้านเมืองพึ่งพาได้เพียงใด?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี