ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ยังรักษาตัวให้รอดพ้นจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ได้ในขณะนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณทุกคนจะรักษาตัวให้รอดพ้นจากเชื้อโรคตัวนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง
ผู้เขียนมั่นใจว่าจนถึงขณะนี้ คนไทย (รวมถึงคนทั้งโลก) ต้องรู้จักเชื้อโควิด-19 ได้มากขึ้นกว่าเดิม และต้องได้รู้ถึงพิษสงของมันได้มากขึ้นกว่า 2-3 เดือนที่ผ่านมา เมื่อทุกคนรู้ถึงพิษร้ายของมันแล้ว ก็จำเป็นที่ทุกคนต้องระมัดระวังและป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากเชื้อร้ายนี้ ขอย้ำว่าคนที่จะทำให้คุณรอดพ้นจากเชื้อร้ายตัวนี้ได้ก็คือตัวของคุณเอง ขอย้ำและขีดเส้นใต้หลายๆ เส้นว่า ตัวของคุณเท่านั้นที่จะทำให้คุณรอดพ้นจากเชื้อโรคโควิด-19 และเชื้อโรคร้ายทุกชนิด
ส่วนประเด็นหน้ากากอนามัยขาดตลาดในประเทศไทยนั้น ยังคงเป็นคำถามยอดนิยมของคนไทยมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่าๆ มานี้ ถึงแม้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยืนยันมาโดยตลอดเวลาว่า หน้ากากอนามัยไม่ขาดตลาด แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้โดยง่าย แต่ถ้าหากจะหาซื้อได้บ้าง ก็ต้องจ่ายเงินซื้อด้วยราคาที่แพงมาก (แพงเกินกว่าราคาที่รัฐบาลกำหนดให้ขายแผ่นละ 2.50 บาท) ส่วนเจลล้างมือที่ผสมแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์นั้น หาได้ยากเย็นเข็ญใจไม่ต่างไปจากหน้ากากอนามัย มิหนำซ้ำยังมีราคาแพงจนคนส่วนใหญ่บอกตรงกันว่า แพงเกินกว่าจะยอมควักเงินซื้อได้โดยง่าย ไม่น่าเชื่อว่าเจลแอลกอฮอล์ขวดเล็กๆ ขนาดนิ้วมือ ซึ่งเคยมีราคาเพียงขวดละประมาณ 10 บาท แต่ปัจจุบันมีราคาเกือบ 20 บาท (แต่ร้านค้าบางแห่งขายราคา 25-27 บาท) คำถามที่ประชาชนถามกันทุกวันคือ ทำไมรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ขาดแคลนได้ และล่าสุดก็กำลังเกิดปัญหาไข่ไก่มีราคาแพง และหาซื้อได้ยากกว่าเดิมมากขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 ในวันที่ หยาง ซิน อุปทูตจีนสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เข้าพบ โดยจีนสัญญาให้ความช่วยเหลือไทยเพื่อต่อสู้กับเชื้อโควิด-19 ในฐานะที่ไทยเป็นมหามิตรของจีน โดยจุรินทร์บอกว่า รัฐบาลไทยขอความช่วยเหลือจากจีน หรือจะต้องซื้อหน้ากากอนามัยจากจีน รวมถึงซื้อหน้ากากชนิด N95 และชุด PPE (ชุดสำหรับบุคลากรทางการแพทย์สวมขณะปฏิบัติงานในห้องปลอดเชื้อ) ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการ (Lab) ทางการแพทย์ทั่วประเทศ และขอให้จีนช่วยผ่อนคลายมาตรการการส่งออกวัตถุดิบจากจีนมาประเทศไทย แต่ที่สำคัญคือจุรินทร์บอกว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ประสานงานไปยังโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย 11 แห่ง เพื่อให้เพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น จากเดิมที่ผลิตได้วันละ 1.2 ล้านชิ้น และขอให้โรงงานเปลี่ยนการผลิตสินค้าอื่นไปผลิตหน้ากากอนามัยแทน เพื่อให้มีหน้ากากอนามัยเพิ่มมากขึ้นในไทย
เมื่อถอดความจากคำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทำให้รู้ว่าไทยสามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้อย่างน้อยวันละ 1.2 ล้านชิ้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วหน้ากากอนามัยหายไปจากประเทศไทยได้อย่างไร
ส่วนข้อมูลจากโรงไทยแอลกอฮอล์ (Thai Alcohol) ระบุว่าผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ 95 เปอร์เซ็นต์ ได้วันละ 4 แสนลิตรและผลิตเอทานอล 99.5 เปอร์เซ็นต์ ได้วันละ 2 แสนลิตร
ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติม (สำหรับผู้ที่อาจไม่เข้าใจ) ว่าเอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) สามารถนำไปใช้ผลิตเวชภัณฑ์ทางการแพทย์และผลิตภัณ์ฑ์ยา เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตัวทำละลายและสารตั้งต้นในกระบวนการผลิตอุตสาหกรรม การสังเคราะห์สารเคมี จำพวกอีเทอร์ เอทิลีน กรดแอซีติก และใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเดียวเท่านั้น ที่ชี้ให้เห็นว่าบริษัทผลิตแอลกอฮอล์รายหนึ่งของไทยสามารถผลิตแอลกอฮอล์ได้จำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงยังมีบริษัทผลิตแอลกอฮอล์รายอื่นๆ ในประเทศไทย ดังนั้นเมื่อมีโรงงานผลิตแอลกอฮอล์อีกหลายโรงในประเทศไทย แล้วทำไมจึงเกิดปัญหาขาดแคลนแอลกอฮอล์ได้ เรื่องนี้สาธารณชนกำลังรอคำตอบชัดๆ จากรัฐบาล
แต่มีอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้เขียนรับทราบโดยตรงจากเจ้าหน้าที่หลายรายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพเจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่วางขายตามท้องตลาดรวมถึงในสถานที่ผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ โดยตรวจพบว่าสินค้าดังกล่าวเป็นจำนวนมากไม่ได้คุณภาพ เพราะไม่ผสมเมทิลแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ดังนั้นจึงขอเตือนประชาชนที่หาซื้อเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้ระมัดระวังสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพด้วย และหากพบว่าที่ใดจำหน่ายเจลแอลกอฮอล์ไม่ได้คุณภาพ ขอให้แจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ทราบด้วย เพื่อจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและเอาผิดกับผู้ผลิตและผู้จำหน่าย
ส่วนประเด็น Work From Home (WFH) หรือการทำงานที่บ้าน ซึ่งสังคมไทยกำลังพูดถึงกันมากนั้น ก็มีมุมมองที่น่าสนใจว่า เมื่อคนจำนวนมากต้องทำงานที่บ้าน ก็ต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เนตไวไฟ (internet WI-FI) มากขึ้นใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น เพราะเมื่ออยู่บ้านก็ต้องเปิดเครื่องทำความเย็นเปิดพัดลม และเปิดไฟเพื่อให้แสงสว่าง ซึ่งทั้งหมดนี้คือค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องรับภาระเพิ่มขึ้น คำถามคือ รัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชนที่มีรายจ่ายในเรื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้นได้อย่างไรบ้าง จะมีมาตรการลดค่าไฟฟ้า และลดค่าอินเตอร์เนตไว-ไฟให้ประชาชนหรือไม่ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ประชาชนยังไม่ได้รับคำชี้แจงที่เป็นรูปธรรมแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ประชาชนสามารถรับรู้ได้ตรงกันก็คือ ในยามนี้บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสัญญาณอินเตอร์เนตไว-ไฟต่างได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องใช้บริการดังกล่าวสำหรับการ WFH
และยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ประชาชนตั้งข้อสังเกตเหมือนๆ กันคือ ทุกครั้งเมื่อรัฐบาลจะประกาศมาตรการใดๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ ก็มักทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่นโกลาหล มากกว่าทำให้ประชาชนอยู่ในความสงบ จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากพากันแห่ออกจากบ้านแล้วไปรวมตัวกันที่ห้างขายสินค้าขนาดใหญ่ (super store) แล้วก็พากันกวาดซื้อสินค้าด้วยความแตกตื่น ซึ่งเท่ากับช่วยเพิ่มรายได้จำนวนมหาศาลให้กับนายทุนผู้เป็นเจ้าของห้างขายสินค้าขนาดใหญ่ไปโดยปริยาย ดังตัวอย่างที่ผู้เขียนพบเห็นในวันที่ผู้คนแตกตื่นแล้วพากันไปซื้อสินค้าอย่างบ้าคลั่ง เพราะสับสนกับคำประกาศของผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ กับคำประกาศของโฆษกรัฐบาลในเรื่องปิดห้างสรรพสินค้า ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า รัฐบาลจงใจทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่น ใช่หรือไม่ หรือว่ารัฐบาลจงใจช่วยให้เจ้าของห้างขายสินค้าขนาดใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้นในยามที่ประชาชนเกิดความแตกตื่น
ส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยโดยรัฐบาล เช่นมาตรการเยียวยารายละ 5 พันบาทต่อเดือน ก็แสนจะสร้างความสับสนให้กับประชาชน ดังจะพบว่าเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนจำนวนมากมายพากันไปเข้าคิวที่ธนาคารออมสินสาขาต่างๆ โดยไม่สนใจเรื่อง Social Distancing (ระยะห่างทางสังคม 1-2 เมตร) อีกต่อไป แม้รัฐบาลจะอ้างว่าพยายามให้ข้อมูลเรื่องนี้กับประชาชนแล้วก็ตาม แต่ประชาชนกลับไม่ยอมฟัง แถมยังแตกตื่นแล้วไปรวมกลุ่มเป็นจำนวนมากที่ธนาคารออมสิน ซึ่งอันที่จริงก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลพยายามให้ข้อมูลเรื่องนี้กับประชาชน แต่คำถามคือ เหตุใดรัฐบาลไม่เน้นย้ำเรื่องนี้ผ่านช่องทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจให้บ่อยและถี่ขึ้น อย่าลืมว่ารัฐบาลมีเครื่องมือสื่อสารกับประชาชนมากมาย แต่การที่รัฐบาลสื่อสารกับประชาชนแล้วประชาชนไม่เข้าใจ รัฐบาลก็ต้องถามตัวเองกลับด้วยว่า ใช้เครื่องมือสำหรับการสื่อสารได้มีประสิทธิภาพหรือไม่ ใช้ถ้อยคำที่ทำให้ประชาชนเข้าใจได้โดยง่ายหรือไม่ สำหรับประเด็นนี้รัฐบาลต้องยอมรับว่า ล้มเหลวในการติดต่อสื่อสารกับประชาชน เพราะหลายครั้งที่รัฐบาลไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าใจได้ถ่องแท้ว่าต้องการให้ประชาชนปฏิบัติตนอย่างไร ซึ่งต้องขอย้ำว่านี่คือจุดอ่อนอีกข้อหนึ่งของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ประชาชนจำนวนมากยังมีความเห็นตรงกันว่า ยังสับสนกับมาตรการช่วยเหลือต่างๆ นานาของรัฐบาล และมีคำถามฝากถามรัฐบาลอีกว่า การที่รัฐบาลประกาศจะคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (บ้านพักอาศัย) และประเภทที่ 2 (กิจการขนาดเล็ก) เป็นเรื่องที่ประชาชนรู้สึกขอบคุณรัฐบาล แต่คำถามคือเหตุใดสำนักงานการไฟฟ้าต่างๆ จึงต้องให้ประชาชนทำเรื่องขอคืนเงิน ทั้งๆ ที่สำนักงานการไฟฟ้าต้องมีหลักฐานอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วว่าใครคือเจ้าของเงินประกัน ดังนั้นเมื่อจะคืนเงินประกันให้กับเจ้าของเงินจริงๆ สำนักงานการไฟฟ้าก็ต้องส่งหนังสือโดยตรงไปยังเจ้าของเงินตามที่อยู่เดิมที่เจ้าของเงินเคยให้ไว้ในวันทำสัญญา หากเชื่อว่าเจ้าของเงินไม่อยู่ในบ้านหลังเดิมที่เคยทำสัญญาไว้ ก็ขอให้ผู้อาศัยในบ้านหลังนั้นแจ้งให้เจ้าของเงินประกันรับทราบแล้วให้ติดต่อกลับไปยังสำนักงานการไฟฟ้า เพื่อดำเนินการทำเรื่องขอคืนเงินต่อไป แต่หากเจ้าของเงินประกันอยู่ในบ้านหลังเดิมที่ทำสัญญากับการไฟฟ้าไว้ ก็ต้องคืนเงินให้กับเจ้าของเงินประกันโดยไม่จำเป็นต้องให้กลับไปทำเรื่องใดๆ กับสำนักงานการไฟฟ้าให้วุ่นวาย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ จึงกลายเป็นเรื่องยากเย็น จนทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาได้
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ประชาชนมีความเห็นตรงกันในยามเกิดวิกฤติโควิด-19 คือ ไม่สามารถพึ่งพานักการเมืองได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองชื่ออะไรก็ตาม ไม่ว่าจะพรรคเก่าหรือพรรคใหม่ เพราะนักการเมืองไทยดีแต่ปาก ปราศจากปัญญาแก้วิกฤติให้ประชาชน แต่นักการเมืองไทยจำนวนไม่น้อยคือผู้สร้างปัญหา และสร้างความแตกแยกให้ประชาชนมากกว่า
นี่คือบางส่วนของบทเรียนที่ประชาชนได้จากวิกฤติโควิด-19 แล้วคุณเล่ามีบทเรียนอะไรจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้บ้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี