การดำเนินการของรัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกในการรับมือกับโรคระบาดโคโรนาไวรัส หรือโควิด-19 อาจแบ่งคร่าวๆ ออกได้เป็น 3 แนวทางหลัก อันได้แก่
1. การจำกัดการเคลื่อนไหวสัญจรไป-มาและการรวมตัวชุมนุมของผู้คน และการแนะนำให้ผู้คนดูแลตนเองโดยเฉพาะความสะอาดสะอ้าน
2. การสนับสนุนความพร้อมให้กับฝ่ายสาธารณสุขในการตรวจ สกัด คัดกรอง รักษาพยาบาล ซึ่งจะต้องมีเครื่องมือเครื่องใช้ รวมไปถึงเครื่องแต่งกาย และจำนวนเตียงพยาบาล เป็นต้น
3. การช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ผู้ที่ตกงาน ผู้ที่ถูกพักงาน ไปจนถึงกลุ่มคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นต้น
ในการดำเนินการต่างๆ เหล่านี้ สถิติตัวเลขถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพื่อที่ผู้บริหารบ้านเมืองจักได้รู้ว่า แต่ละกลุ่มคนที่ต้องการรับความช่วยเหลือนั้นมีกี่กลุ่ม และแต่ละกลุ่มมีจำนวนเท่าใด ซึ่งนำไปสู่การทราบว่าต้องใช้เงินหรืองบประมาณเท่าใด โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ ก็มักมาจากงบประมาณรัฐ ซึ่งได้มาจากภาษีของประชาชนพลเมือง ทำให้ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ที่จะทราบว่ามีการนำไปใช้จ่ายที่ไหนมากน้อยเพียงใด
ส่วนเงินอีกส่วนหนึ่ง ก็ไม่พ้นที่จะต้องมาจากแวดวงธนาคารรัฐ และธนาคารเอกชน เช่น การให้กู้ยืมแบบผ่อนปรน รวมไปถึงการยืดเวลาการผ่อนชำระหนี้สินซึ่งธนาคารจะบริการได้คล่องตัวขึ้น ภาระที่ธนาคารเหล่านี้มีต่อธนาคารชาติก็ต้องมีการลดหย่อนผ่อนปรนลงไปด้วย
ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลนั้นมีงบประจำจัดสรรให้กับกระทรวง ทบวง กรม และรัฐวิสาหกิจ แล้วก็ยังมีงบสำรองฉุกเฉินอีกด้วย อีกทั้งยังมีรายได้เสริม เช่น จากการขายสลากกินแบ่ง นอกจากนั้นประเทศไทยมีเงินสำรองสกุลเงินต่างชาติมากมาย (เนื่องจากไทยยังขายสินค้าได้มากกว่าการซื้อเพื่อนำเข้า บวกกับมีการลงทุนจากต่างประเทศ) เงินเหล่านี้สามารถผันมาใช้จ่ายในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้
ก็น่าจะจัดได้ว่าการเงินการคลังประเทศไทยเรานั้นดูไม่ขัดสน ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับมาตรการ วิธีการ ของผู้บริหารประเทศที่จะนำพาประชาชนเผชิญหน้า กับปัญหาโรคระบาดนี้อย่างเป็นระบบ มีความรัดกุม และครอบคลุมทุกหมู่เหล่า ไม่มีใครถูกลืม หรือตกหล่น รวมทั้งจะต้องมีการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล ที่อำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่ประชาชนพลเมือง โดยไม่ไปเพิ่มขั้นตอนการติดต่อราชการให้ยุ่งยาก สลับซับซ้อนเป็นภาระเพิ่มขึ้น
หากฝ่ายรัฐบาลมีตัวเลขสถิติต่างๆ แน่ชัด การเข้าถึง และบริการประชาชน ก็ย่อมมีความชัดเจน โปร่งใส และรวดเร็ว คือมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ที่ผ่านๆ มารัฐบาลหลายชุดก็มีโครงการประชานิยมต่างๆ ออกมา ซึ่งหมายความว่า ภาครัฐน่าจะมีตัวเลขสถิติของประเภทของประชากรต่างๆ อยู่พร้อมมูลแล้ว ที่กระจายอยู่ที่หน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานทะเบียนราษฎร สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมฯ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ไปจนถึงกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และธนาคารรัฐต่างๆ เป็นต้น ส่วนทางด้านภาคเอกชนก็มีสมาคมธนาคารพาณิชย์ไทย สภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าเป็นหลักก็น่าจะเอาสถิติตัวเลขมาพิจารณาร่วมกับภาครัฐ และร่วมมือกัน(ทั้งนี้ภาคเอกชนก็ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างจริงจัง ไม่ใช่คิดแต่จะขอให้ภาครัฐ ให้ความช่วยเหลือจากงบที่มาจากภาษีประชาชนพลเมือง)
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนพลเมือง ก็น่าจะคึกคัก เอาใจใส่ในเรื่องโควิด-19ให้มากกว่านี้ แม้จะเป็นช่วงพักการประชุม แต่เมื่อเป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน ก็น่าจะกลับมาประชุมกันได้ แต่ดูไปแล้ว กลับไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ ปล่อยให้เป็นภาระของฝ่ายบริหาร และผู้ประกอบการแต่เพียงอย่างเดียว
อีกประเด็นหนึ่ง คือความพร้อมทางด้านของใช้ต่างๆ ในการต่อสู้กับเชื้อโรค ที่ผ่านมาเหตุใดกระทรวงอุตสาหกรรมจึงดูเงียบมาก ทั้งๆ ที่กรณีนี้ เครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ต่างๆ เป็นของสำคัญเร่งด่วน ที่ต่างประเทศ หลายๆ ประเทศ ก็เร่งดำเนินการในเรื่องเสริมสร้างความพร้อมทางการแพทย์ และในขณะเดียวกันทางภาคเอกชน เช่น บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านยานยนต์อย่าง ฟอร์ด (Ford) เขาก็ได้ประกาศแล้วว่า จะหันมา
ช่วยผลิตหน้ากาก และเครื่องกรองอากาศ เพื่อช่วยสังคมต่อสู้กับเชื้อโควิด-19 ซึ่งเมื่อเห็นตัวอย่างเช่นนี้แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมและแวดวงอุตสาหกรรมไทยก็ต้องไฟจี้ก้นกันได้แล้ว
ประชาชนพลเมืองต่างตระหนักดีถึงภยันตราย และให้ความร่วมมือในการดูแลตนเอง ไม่ทำตนให้เป็นภาระต่อสังคม ดูได้จากการเคลื่อนไหวสัญจรไป-มาที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ในทางตรงกันข้ามกับเส้นทางเงินช่วยเหลือจากรัฐไปสู่มือประชาชนพลเมืองยังไม่ค่อยแน่ชัด เพราะขาดสถิติตัวเลขเป็นสำคัญ
ฉะนั้น ภาครัฐต้องรีบตรวจสอบสถิติต่างๆ ที่มีอยู่ในมือดังกล่าว อันไหนขาดก็รีบหาเพิ่ม เพื่อที่จะได้นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการตอบสนองประชาชนพลเมืองได้ดียิ่งขึ้น ประชาชนพลเมืองเจ้าของงบประมาณก็จะได้รู้ด้วยว่าเงินไปทางไหน
ที่น่ากังวลก็คือ เมื่อตัวเลขไม่ชัด โอกาสทุจริตคอร์รัปชั่นก็ตามมา ตามที่ปรากฏเห็นกันอยู่ทนโท่
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี