มาตรการแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลที่ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น หลังจากที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรเป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. ถึง 30 เม.ย. 2563 ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยสะสม 1,771 ราย และผู้เสียชีวิต 12 ราย และมีการมอบหมายให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เป็นหน่วยงานกลางในการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ โดยก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลที่ปล่อยให้หน่วยงานต่างๆ ออกมาตรการเอง มีการออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนคนละทิศคนละทาง สร้างความสับสนและลดทอนความเชื่อมั่นจากประชาชน
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีประเด็นเรื่องความล่าช้าในการจัดการ เรื่องกระแสการโก่งราคาในสินค้าจำเป็นในช่วงวิกฤติิ และเรื่องมาตรการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจรายย่อย จึงทำให้ฝ่ายค้านสลับกันออกมาตั้งคำถามโจมตีรัฐบาลได้ไม่เว้นแต่ละวัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ต้องรอลุ้นเรื่องแพ็กเกจรัฐบาลที่ออกมาในเบื้องต้นที่จะชดเชยรายได้แก่แรงงาน ลูกจ้างชั่วคราว และอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติในครั้งนี้ เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ได้มีการเปิดให้ผู้มีสิทธิลงทะเบียนครั้งแรกในวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เกิดอุปสรรคในช่วงแรกบ้างแต่ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ดี ก็มีนักการเมืองบางคนออกมาสนับสนุนว่ารัฐบาลควรชดเชยมากกว่านี้หรือไม่?
ในสถานการณ์ที่ทั้งโลกได้รับผลกระทบ จึงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าอะไรคือทางออกที่เหมาะสมที่สุด และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ไม่สามารถใช้ประสบการณ์ใดได้เลยเพราะเกิดพร้อมกันทั่วโลกเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ดังนั้นการโหมให้เงินอย่างเดียวย่อมอันตราย ต้องค่อยๆ ให้หรือไม่แต่สิ่งที่น่ากังวลถัดจากภาคประชาชนคือภาคธุรกิจทุกระดับ ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ที่เพิ่งขยายกำลังลงทุนต้องแบกรับภาระการบริหาร และธุรกิจรายย่อยที่ต้องเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ แต่จะเป็นเช่นไรเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลไปได้พร้อมๆ กัน เพราะในทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็อ่อนกำลังลงไปอย่างเห็นได้ชัดนำมาซึ่งโอกาสในการกอบกู้ศรัทธาของประชาชน
ซึ่งการบริหารจัดการเฉพาะหน้าก็เป็นเรื่องหนึ่งแต่อีกเรื่องหนึ่งคือการวางแผนสำหรับอนาคต คือเมื่อรอดพ้นวิกฤติโควิด-19 ทิศทางประเทศไทยจะไปทางใด? เพราะหลังจบโควิดทุกประเทศก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่พร้อมกัน จะฟื้นฟูประเทศอย่างไรเพื่อให้กลับมาแข่งขันกับนานาชาติได้อีกครั้ง เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลายเป็นโลก 5G ที่ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกก็เชื่อมโยงกันหมด เช่น กว่าจะได้สินค้าต้องผลิตจาก 10 แหล่ง 5 ประเทศ จึงจะเป็น 1 ชิ้น รวมถึงการเชื่อมโยงกันของกิจกรรมทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจด้วย ดังนั้นวิกฤติโควิด-19หากมีประเทศใดที่สามารถแก้ไขได้ ฟื้นตัวก่อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอด แต่ต้องให้ประเทศอื่นรอดด้วย ต้องไปด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการควบคุมโรคระบาดของไทยถือทำได้อย่างรวดเร็ว มีอัตราการแพร่เชื้ออัตราผู้ติดเชื้อ ตลอดจนผู้เสียชีวิตที่ต่ำ แต่ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา เพราะประเทศอื่นยังไม่สามารถฟื้นตัวจากวิกฤติได้
ทำให้วันนี้เหมือนอาจต้องกลับไปคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง ที่อาจต้องนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ตนเอง และอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งเป็นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อมองจุดแข็งของประเทศ ประเทศไทยโชคดีที่มีจุดแข็ง 3 อย่างที่สำคัญ คือ
1.ภูมิศาสตร์ที่ตั้ง เป็นจุดยุทธศาสตร์ของการคมนาคม บก น้ำ อากาศ ตั้งแต่การทำสงคราม ขนส่งทางเรือ ขนส่งทางอากาศ รวมถึงยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวด้วย เรามีวัฒธรรมที่สวยงาม ที่ระยะหลังก็อาจเจือจางลง จากการรับวัฒนธรรมตะวันตกมามาก วัฒนธรรมท้องถิ่นถูกกลืน ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา
2.ไทยมีความสามารถในการผลิตอาหารได้เอง เป็นครัวโลกผลิตอาหารและยังสามารถส่งออกได้ เช่น ข้าว ข้าวโพด อาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป หรือแม้กระทั่งสินค้าเกษตรเพื่ออุตสาหกรรมอื่น อย่าง ยางพารา ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของโลก ควรกลับมาส่งเสริมและสนับสนุนเรื่องการพัฒนาอาหารปลอดภัย ทุกคนจะหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังจากวิกฤติในครั้งนี้ หากมีการส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าปลอดสาร โดยหากเตรียมการดี ยิ่งเร็วเท่าไหร่จะยิ่งทำให้ไทยได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ข้าว มันสำปะหลังแม้กระทั่งการเลี้ยงสัตว์ ฟาร์มปิด-เปิด มีการรับรองคุณภาพความปลอดภัย ทุกประเทศเน้นด้านนี้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นไทยต้องจัดการมลพิษในอากาศที่เป็นปัญหาสั่งสมมานาน ในช่วง 2 ปีที่มีปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5มากขึ้นที่ต้องการให้รัฐบาลจัดการให้ได้เสียทีก่อนที่จะกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในช่วงที่คนไม่ออกจากบ้าน เดินทางน้อยลงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอากาศดีขึ้น มลพิษลดน้อยลง หากพ้นวิกฤติแล้วสามารถทำได้คงจะเพิ่มคะแนนให้กับรัฐบาลได้มากทีเดียว รวมไปถึงเรื่องการเผาป่าที่ภาคเหนือ เผาหญ้า มลพิษในอากาศ คุณภาพน้ำที่ใช้ในการสาธารณูปโภค ทั้งหมดควรถือโอกาสนี้ในการปรับปรุง พัฒนา ฟื้นฟู ประเทศในด้านต่างๆ
3.ไทยมีทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับสืบทอดกันมาคือ ยา เช่น ขมิ้นชัน มะรุม ฟ้าทะลายโจร ยาพื้นบ้านจากธรรมชาติที่ไม่มีสารเคมี อาจต้องคิดถึงการจับมือกับอินเดีย เป็นประเทศที่ผลิตยาได้ดี อาจช่วยให้อุตสาหกรรมยาไทยไปพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็เป็นได้ และด้านการรักษาพยาบาลที่ก่อนหน้าเคยทำมาแล้ว 15 ปี มีความพยายามที่จะเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาล เรามีบุคลากรทางการแพทย์ที่เก่งและมีชื่อเสียง มีโรงพยาบาลเอกชนที่ทันสมัยสามารถดึงดูดผู้ป่วยเพื่อนบ้าน และผู้ป่วยจากตะวันออกกลางมาใช้บริการอาจช่วยพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ เราจะต้องใช้โอกาสที่เสมือนการปิดประเทศครั้งนี้ หันกลับมาพัฒนา 3 สิ่งนี้มีเป็นจุดแข็งที่มีอยู่แล้ว และในโอกาสที่ไม่มีนักท่องเที่ยวก็ต้องรีบบูรณะและฟื้นฟู สถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติทะเล หมู่เกาะ ป่าไม้ เพื่อรองรับนักเที่ยวที่จะไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง เพราะเมื่อหมดโควิด-19 ทุกประเทศเปิดแล้ว เราจะสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่าเดิม
และการพัฒนาที่สำคัญอีกด้านคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เท่าทันเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านการสื่อสารออนไลน์ ในอนาคตจะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัด ลดขั้นตอนการทำงานให้สามารถติดต่อ ประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยสามารถมีหมอทางไกลให้คำปรึกษาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กไทยควรมีความรู้ด้านภาษาที่หลากหลายมากกว่า 2 ภาษา ทรัพยากรบุคคลคือหัวใจของความสำเร็จ หากทำได้จริงอาจได้เป็นขั้วมหาอำนาจของโลกจะเปลี่ยนไป
จากวิกฤติิเป็นโอกาส ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลไม่สามารถทำคนเดียวได้ ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม ทุกคนต้องช่วยกันยับยั้งสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ห้ามสิ่งที่จะเข้ามาทำลายความสวยงามของประเทศ ช่วยกันพัฒนาทรัพยากรทุกด้านให้กลับมาแข็งแรง ซึ่งก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยเป็นสวรรค์บนดินมีพร้อมทั้งที่อยู่อาศัย อาหารที่ดี สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ถือมีทุนที่เหนือกว่าประเทศอื่น เพียงแต่ต้องหยุดความขัดแย้งทางการเมือง และร่วมมือกันเดินหน้าประเทศไทยให้ก้าวผ่านวิกฤติและเป็นผู้นำของภูมิภาคที่ช่วยดึงประเทศอื่นๆ ให้ผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน......
“ขึ้นชื่อว่าแก้วถึงจะแตกทำลายก็ไม่หาย
ชื่อเราจะขอทำศึกสงครามด้วยท่านกว่าจะสิ้นชีวิต”
กวนอู สามก๊ก ฉบับวณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี