เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เราเคยได้คุยกันไปว่า สถานการณ์ระบาดรุนแรงทั่วโลกของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในครั้งนี้ได้ผลักดันคอร์รัปชันไปสู่มิติใหม่ของความอันตรายถึง 3 ชั้น นั่นคือ หนึ่ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่คอร์รัปชันจะกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนได้ขนาดนี้ เช่น การโกงกักตุนหน้ากากอนามัย ทำให้ประชาชนไม่สามารถหาซื้อได้และไม่มีใส่ป้องกันโรค มันโยงมาถึงตัวเองจริงๆ หรือแม้แต่การเห็นภาพของแพทย์และพยาบาลที่ทำงานอย่างเหนื่อยล้า ต้องขาดแคลนหน้ากากอนามัย ก็ทำให้คนรู้สึกทนไม่ได้อย่างมาก สอง ไม่เคยมีครั้งไหนที่การคอร์รัปชันส่งผลกระทบต่อสังคมได้รวดเร็วเท่านี้ จะสังเกตได้ว่าการกักตุนหน้ากากอนามัย เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ก็ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแทบจะทันที ไม่ต้องรอว่ามีคนโกงเงินตัดถนน ทำให้อีกสองปีถนนพัง และสาม ไม่เคยมีครั้งไหนที่การคอร์รัปชันจะกระทบทุกคนอย่างเท่าเทียมกันได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าผู้มีรายได้น้อยหรือแรงงานนอกระบบอาจได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น แต่ไวรัสโควิดนี้สามารถแพร่และติดทุกคนได้ ไม่ว่าจะมีฐานะใด มีชื่อเสียงมากแค่ไหน สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาตื่นตัวพร้อมๆ กันและเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งจัดการปัญหานี้อย่างเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ
สถานการณ์เช่นนี้เป็นทั้งวิกฤติและโอกาสของการต่อต้านคอร์รัปชัน ด้านหนึ่งก็เป็นด้านที่น่ากลัวมาก เพราะจะเห็นได้ว่าผลกระทบของคอร์รัปชันในสถานการณ์นี้ทั้งรุนแรง รวดเร็ว และไม่ไว้หน้าใคร ทำให้การโกงแม้เพียงเล็กน้อย สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตของเพื่อนมนุษย์ได้ในทันที ล่าสุดเพจปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้านและสำนักข่าวอิศราเปิดโปงการซื้อเครื่องพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิดที่เทศบาลแห่งหนึ่งจัดซื้อมาในราคาสูงกว่าราคาตลาดถึง 5 เท่า ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงก็นับว่าเลวร้ายอย่างยิ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนจะเป็นโอกาส ที่กระตุ้นให้ทุกคนในสังคมตื่นรู้สู้โกงอย่างแท้จริง เช่น ข่าวเครื่องพ่นน้ำยานี้ที่มีการแชร์ไปนับพันครั้ง หรือแม้แต่การลุกขึ้นมาปกป้องคนแจ้งเบาะแสการโกงบนโซเชียลมีเดียที่เกิดเป็นกระแสใหญ่ในสังคมไทยขณะนี้
ในด้านความน่ากลัวของการคอร์รัปชันในช่วงนี้ ประเทศไทยเราไม่ใช่ประเทศเดียวที่ประสบปัญหา เรามีตัวอย่างจากหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่เผชิญวิกฤติอยู่เช่นเดียวกัน อย่างเช่นที่บราซิล ที่มีสื่อรายงานว่ากำลังประสบกับการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยอย่างมาก แต่รัฐบาลกลับเลือกให้สัญญานำเข้าอุปกรณ์เหล่านี้กับบริษัทเอกชนที่เสนอราคาสูงกว่าราคาตลาดถึง 12 เท่า ทั้งๆ ที่มีคู่แข่งเสนอราคาต่ำกว่าก็ตาม ซึ่งต่อมาปรากฏข้อมูลว่าผู้ชนะเคยบริจาคเงินให้พรรครัฐบาลในช่วงเลือกตั้ง ในบังกลาเทศมีตัวแทนกลุ่มแรงงานออกมาเปิดเผยว่าการคอร์รัปชันในกระทรวงสาธารณะสุขในขณะนี้ รุนแรงกว่าการระบาดของไวรัสเสียอีก ในบางประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเยอรมนี ก็มีสื่อท้องถิ่นรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่เรียกรับสินบนแลกกับการเร่งตรวจเชื้อไวรัสให้ และที่ดูจะอันตรายที่สุดคือการปิดกั้นไม่ยอมรับความจริง อย่างในประเทศเติร์กเมนิสถานที่สั่งห้ามการใช้คำว่า ไวรัสโคโรนา โดยสิ้นเชิง ส่งผลให้รัฐไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงทีและประชาชนขาดความรู้และข้อมูลในการระวังและป้องกันตัวเอง (ข้อมูลจากองค์กร U4 และ Transparency International)
ในทางกลับกัน ช่วงนี้รัฐบาลมีโอกาสส่งเสริมการการต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพอย่างมาก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในระยะสั้น และสร้างโครงสร้างที่ลดโอกาสการคอร์รัปชันในระยะยาว ผมจะพาไปดูตัวอย่างที่น่าสนใจของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เคยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็วมากอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันสามารถชะลอการแพร่ระบาดและควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิผล เมื่อนักข่าวจากสำนักข่าวบีบีซี ของประเทศอังกฤษ โทรศัพท์ไปขอสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของเกาหลีใต้ ถามว่ากลยุทธ์ของเกาหลีใต้คืออะไร รัฐมนตรีท่านนี้ตอบทันทีอย่างชัดเจนว่า “หลักการสำคัญคือ การเปิดเผยข้อมูล และ ความโปร่งใส” โดยได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อข้อมูลต่างๆ ถูกเปิดเผยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถรับรู้ความจริงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เตรียมตัวป้องกันได้ทันท่วงที เห็นได้จากการที่เกาหลีใต้สั่งเร่งการผลิตชุดตรวจเชื้อไวรัสจำนวนมากตั้งแต่ต้นปี และที่สำคัญเมื่อประชาชนได้รับข้อมูลครบถ้วนอย่างโปร่งใส ก็เกิดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล จึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ และมีข้อมูลมากพอที่จะระมัดระวังไม่ไปในสถานที่ที่มีผู้ติดเชื้อผ่านไปด้วย
อีกพื้นที่หนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากในการป้องกันไวรัสโควิดและคอร์รัปชันไปพร้อมๆ กัน ด้วยการเปิดเผยข้อมูลและสร้างความโปร่งใสก็คือ ไต้หวัน ผู้อ่านหลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อคุณออเดร ถัง รัฐมนตรีดิจิทัลของไต้หวันที่บุกเบิกนวัตกรรมทางสังคมใหม่ๆ อยู่เสมอ ในวิกฤตินี้ คุณออเดรก็ได้ชักชวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไต้หวันมาช่วยกันสร้างแอพพลิเคชั่นติดตามหน้ากากอนามัย ที่เชื่อโยงข้อมูลจากภาครัฐและภาคเอกชนให้ประชาชนได้รับรู้ตลอดเวลาว่า ขณะนี้ร้านขายยาที่ไหนมีหน้ากากอนามัยขายบ้างและมีมากน้อยแค่ไหน หน่วยงานตรวจสอบของรัฐก็สามารถติดตามได้ว่าไม่มีรั่วไหลหายไปหรือถูกกักตุนที่ไหน ทำให้ไต้หวันได้รับผลกระทบน้อยมากจากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การป้องกันและควบคุมการระบาดของไวรัสนี้ได้อย่างดี
ในประเด็นนี้องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ผู้จัดทำดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI) ได้ออกมาแถลงสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลและสร้างความโปร่งใสเพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัสด้วย สอดคล้องกับที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เคยจัดการสัมมนาหาวิธีป้องกันการคอร์รัปชันในช่วงภัยพิบัติ โดย TI ได้นำเสนอแนวทางเพิ่มเติมสำหรับรัฐบาลประเทศต่างๆ ในการเฝ้าระวังและป้องกันการคอร์รัปชันในช่วงนี้อีก 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง สร้างระบบเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ สอง ควรส่งเสริมให้มีบริษัทจำนวนมากเข้ามาแข่งขันกันในการประมูลงานของรัฐเพื่อป้องกันการโก่งราคา และสาม ควรเปิดให้สาธารณะเข้ามาร่วมสังเกตการณ์การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐได้
ที่น่าสนใจคือ ทั้งเกาหลีใต้ และไต้หวัน ต่างได้รับการจัดอันดับภาพลักษณ์การคอร์รัปชันให้มีคะแนนสูงมากเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย ซึ่งหมายความว่ามีความโปร่งใสสูงและการคอร์รัปชันน้อยมาก ข้อนี้อาจจะทำให้ทั้งเกาหลีใต้และไต้หวันมีความได้เปรียบในเชิงโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเปิดเผยข้อมูลที่ดีอยู่แล้ว จึงนำมาใช้ในสถานการณ์วิกฤตินี้ได้อย่างรวดเร็ว ประเทศไทยเอง แม้ยังไม่มีระบบที่ดีเยี่ยม แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีเลย ในด้านการจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เราก็มีฐานข้อมูล ACT Ai ที่พัฒนาโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ที่รองรับข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดไว้ หากรัฐบาลสนับสนุนให้ส่งข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างด้วยงบฉุกเฉินต่างๆ มาที่ฐานข้อมูลนี้ด้วย ก็จะสร้างความโปร่งใสได้อย่างทันท่วงที และยังมีโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact: IP) ที่จะส่งผู้สังเกตการณ์อิสระซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างนั้นๆ เข้าไปช่วยเฝ้าระวังการโก่งราคา การล็อกสเปก และการฮั๊วกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งตลอด 5 ปี ที่โครงการนี้ดำเนินงาน สามารถประหยัดเงินชาติไปได้จริงแล้วเป็นเงินกว่าแสนล้านบาท นอกจากนี้เรายังมีสื่อสืบสวนสอบสวนและกลุ่มภาคประชาสังคม เช่นสำนักข่าวอิศรา กลุ่มปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ต้องแฉ และเพจต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ที่ทำงานกันอย่างแข็งขันตลอดมา ซึ่งต้องการการสนับสนุนจากคนไทยทุกคน
เมื่อเราทั้งได้รับข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ เห็นตัวอย่างความสำเร็จจริงในต่างประเทศ และรู้ว่าประเทศไทยเราเองก็มีความพร้อมพอสมควรแล้ว ขอให้ช่วยกันส่งเสียงไปถึงรัฐบาลว่า การเปิดเผยข้อมูล สร้างความโปร่งใส คืออีกวิธีหนึ่งที่สำคัญมากในการพาคนไทยรอดพ้นภัยร้ายนี้ไปได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขอให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนโครงการเพื่อสร้างความโปร่งใสเหล่านี้และปกป้องประชาชนที่กำลังช่วยสร้างความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลด้วยอย่างจริงจังและเร่งด่วน
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี