มนุษย์เรานอกจากจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และฆ่ากันเองแล้ว ยังฆ่าตนเองทางอ้อมด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย มนุษย์จึงจัดได้ว่าเป็นนักฆ่าที่ฉกาจฉกรรจ์ และโหดเหี้ยมที่สุด ตลอดประวัติศาสตร์ของดาวโลกนี้ (The Planet) ด้วยเหตุก็เพราะมนุษย์ด้วยกันใช้ปัญญา ความเฉลียวฉลาด ไปในด้านเล่ห์กล และใช้เทคโนโลยีเครื่องมือที่สัตว์โลกอื่นๆ ไม่มี ในการสร้างการบริโภคเกินขนาดขึ้นมาในสังคม ส่งผลให้เกิดการทำลายทรัพยากรอย่างไม่จำเป็น ผลกระทบในการฆ่าสัตว์ต่างๆ ก็สะท้อนกลับมาเป็นการปลดปล่อยเชื้อโรคต่างๆ ออกมาสู่สังคมมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย
อีกทั้งการฆ่าสัตว์ป่าก็เป็นการทำลายห่วงโซ่ของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของสัตว์ และพืช หรือระบบความสมดุลของธรรมชาติแวดล้อม หรือนิเวศด้วย และเมื่อระบบนิเวศขาดตอน หรือขาดสะบั้นลง ภัยพิบัติต่างๆ ก็ตามมาและเคลื่อนสู่มนุษยชาติ
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า นอกจากมนุษย์จะเป็นผู้ทำลายสัตว์ ธรรมชาติแวดล้อม แล้วยังเป็นผู้ทำลายตนเองด้วย จะด้วยความไม่รู้เท่าทันด้วยอวิชชา หรือด้วยการตระหนักรู้แล้ว แต่ก็ถูกครอบงำด้วยความอยากเป็นสำคัญก็ตามทีต่างก็ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์นั้นขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อสัตว์ต่างๆ ร่วมโลก และต่อระบบนิเวศ
ที่มนุษย์ไม่เคารพระบบนิเวศ และสิงสาราสัตว์ก็เพราะมนุษย์มิได้เอาเรื่องธรรมชาติแวดล้อมเป็นที่ตั้ง มิได้ตระหนัก หรือยอมรับว่าระบบนิเวศนั้น ควรค่าแก่การให้ความเคารพ และจะต้องมาก่อนความอยากของมนุษย์
ในวันที่สภาวะแวดล้อมเสื่อมโทรมลงขนาดนี้มนุษย์จะไม่เหลียวแลระบบนิเวศก็คงมิได้แล้ว และจะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศ โดยเฉพาะการไม่ไปรังแกและเบียดเบียนสัตว์ป่าทั้งหลาย มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกับสัตว์ป่าที่หลงเหลืออยู่ให้ได้ มิฉะนั้น ก็เท่ากับว่ามนุษย์หาเรื่องหาราวรบราฆ่าฟันกับธรรมชาติแวดล้อมซึ่งหากธรรมชาติแวดล้อมเกิดฮึดสู้ขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้นโลกมนุษย์ก็ปั่นป่วนกันถ้วนหน้า ดังกรณีโควิด-19 ณ วินาทีนี้
ประชาคมโลก ณ วันนี้ต้องเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือ
1.การต่อสู้ให้ได้ชัยชนะเหนือโรคโควิด-19 และ
2.การกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ควบคู่กันไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งก็หวังว่าจะไม่ใช้เวลานาน และเมื่อนั้นประชาคมโลกก็มีภารกิจที่ต้องกระทำที่หลีกเลี่ยง ที่เฉยเมยอีกไม่ได้ต่อไปนั่นคือ
1.การปิดตลาดทั้งบนดินและใต้ดิน ที่ค้าขายสัตว์ป่าทั้งหลายเป็นเด็ดขาด
2.การข่าวกรองเพื่อจัดการกับกระบวนการอาชญากรรมค้าสัตว์ป่าอย่างไม่สะทกสะท้านต่อกฎหมายบ้านเมือง
3.การยุติการรุกล้ำป่าธรรมชาติต่างๆ
4.การฟื้นฟูป่า
5.การส่งเสริมให้ชาวบ้านชายขอบป่าร่วมดูแลป่า และดำรงชีพจากผลิตผลของป่า ที่ไม่เป็นการทำลายป่า
แต่ละประเทศต้องมีความรับผิดชอบในบ้านของตน และในขณะเดียวกันการร่วมมือระหว่างประเทศก็จำเป็นยิ่ง หัวเรือใหญ่ก็น่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน และสหภาพยุโรป (27 ประเทศสมาชิก) ซึ่งเป็นตลาดค้าสัตว์ป่าเป็นที่หนึ่ง สอง สาม ตามลำดับบนโลก
ไทยเราก็เป็นตลาดทางผ่านระดับต้นๆของโลก ก็ต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะการนำพาการร่วมมือในระดับประชาคมอาเซียน ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ฆาตกรรมธรรมชาติจะต้องไม่อยู่ต่อไป”
มิเช่นนั้น เหตุการณ์อย่างไวรัส COVID-19คงได้กลับมาเยี่ยมเยียนมนุษยชาติกันเรื่อยๆในรูปแบบสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะทวีความร้ายแรงไปได้ถึงขั้นไหนในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี