(1) “ระบบบอกว่าฉันเป็นเกษตรกรทั้งที่ฉันไม่เคยมีฟาร์มหรือจับจอบมาก่อนในชีวิต, ถ้าระบบตัดสิทธิ์ฉันอีกก็อาจจะฝืนออกมาขายเสื้อผ้าอีกครั้ง เพราะแม้จะถูกจับแต่ก็ยังดีกว่าอดตาย (The system called me a farmer but I have never had a farm or touched a hoe in my entire life , I may have to try to sell the clothes if I’m rejected again. I don’t mind getting arrested as it’s better than starving to death)” Mareena Gakhao แม่ค้าขายเสื้อผ้า จาก จ.สุราษฎร์ธานี (Millions of Thais left out of government’s COVID-19 cash relief scheme : 14 เม.ย. 2563)
(2) “รัฐบาลไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย, ถ้าผมรอรัฐบาลช่วยผมอาจจะตายก่อน (The government hasn’t helped me with anything, If I wait for the government’s aid then I’ll be dead first)” Chare Kunwong อาชีพพนักงานนวด พักอาศัยในกรุงเทพฯ กล่าวในขณะรอรับแจกอาหารจากเพื่อนร่วมชาติที่มีจิตเมตตา (Queues for food as COVID-19 pandemic causes pain for jobless Thais : 22 เม.ย. 2563)
2 ตัวอย่างจากสื่อของประเทศสิงคโปร์ กรณีแรกมาจากเว็บไซต์ นสพ.The Straits Times ส่วนกรณี ที่สองมาจากสำนักข่าว Channel News Asia สะท้อนภาพ “ความปวดร้าวและคับแค้นใจ” ของประชาชน “คนหาเช้ากินค่ำ” ในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” เมื่อรัฐบาลไทยสั่งปิดสถานที่ต่างๆ หยุดกิจกรรมที่มีผู้คนมารวมตัวพบปะกันเพื่อหวังสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) แต่ครั้นจะไปขอความช่วยเหลือตามมาตรการเยียวยากลับทำได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน
ยังไม่ต้องนับ “การฆ่าตัวตาย (และพยายามฆ่าตัวตายแต่ถูกช่วยไว้ได้ทัน)” ที่ในรอบ 1 เดือน หลังรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีรายงานผ่านสื่อไทยหลายสำนักและปรากฏในหลายจังหวัด เช่น วันที่ 4 เม.ย. 2563 หนุ่มพนักงานสนามกอล์ฟในกรุงเทพฯ ที่ตกงานเพราะสนามกอล์ฟถูกสั่งปิด จึงใช้อาวุธปืนยิงตัวตาย,วันที่ 12 เม.ย. 2563 หนุ่มคนงานก่อสร้างใน จ.สุโขทัย ถูกเลิกจ้างเพราะวิกฤติโรคระบาดทำให้ผู้รับเหมาไม่มีงานมาให้ทำ อีกทั้งทราบข่าวอาชีพก่อสร้างไม่เข้าข่ายได้รับการเยียวยาจากรัฐ จึงตัดสินใจผูกคอตาย
วันที่ 10 เม.ย. 2563 หนุ่มคนงานก่อสร้างใน จ.บุรีรัมย์ ยืนอยู่กลางถนนหวังให้รถชนตาย เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปสอบถามก็ได้ความว่า ตนเองทำงานก่อสร้างและภรรยาเป็นแม่ค้า แต่เมื่อตลาดถูกสั่งปิดตามมาตรการป้องกันโรคระบาด ทำให้ภรรยาไปขายของไม่ได้ จึงกระทบต่อรายได้ในครัวเรือน เพราะต้องเลี้ยงลูกวัย 2 ขวบด้วย อีกทั้งขณะนั้นลงทะเบียนรับเงินเยียวยาจากรัฐแล้วอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ปัญหาที่ถาโถมเข้ามากลายเป็นความเครียด เป็นต้น
เว็บไซต์ นสพ.The Washington Post สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ Stirrings of unrest around the world could portend turmoil as economies collapse เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2563 ว่าด้วยความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาลที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพราะแม้จะถูกหลักสาธารณสุขในการรับมือโรคระบาดแต่ส่งผลกระทบต่อปากท้อง จนเกิด “การประท้วง” ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ เลบานอน อิรัก อินเดีย
รวมถึง “ปัญหาอาชญากรรม” เช่น ตำรวจต้องระดมกำลังมาป้องกันซูเปอร์มาร์เก็ตในพื้นที่ภาคใต้ของอิตาลี เนื่องจากผู้คนมีฐานะยากจนกว่าทางภาคเหนือ การล็อกดาวน์แดนมะกะโรนีทั้งประเทศทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตตกเป็นเป้าหมายของการปล้น ทั้งนี้ ศ.คาเทีย บาติสตา (Prof.Catia Batista) นักเศรษฐศาสตร์จาก Lisbon’s Nova University ประเทศโปรตุเกส กล่าวว่า ประชากรราว 2 พันล้านคนทั่วโลก มีรายได้แบบหาเช้ากินค่ำ การไม่มีงานคือไม่มีเงินและนั่นหมายถึงการไม่มีอาหารรับประทาน เมื่อท้องหิวสุดท้ายก็จะตอบสนองด้วยการก่อความไม่สงบ
กลับมาที่ประเทศไทย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ อาจารย์พิเศษและนักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวในการสนทนาหัวข้อ “ความเหลื่อมล้ำในชีวิตประจำวันภายใต้วิกฤติ COVID-19” ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจ “คณะก้าวหน้าแรงงาน” เมื่อค่ำวันที่ 20 เม.ย. 2563 เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า “ในขณะที่คนชั้นกลางและคนมั่งมีกำลังคิดว่าจะสั่งอาหารจากร้านไหน? ผ่านแอพพลิเคชั่นใด? คนระดับฐานรากพยายามใช้เงินจำนวนน้อยนิดที่มีอยู่ในมือซื้อวัตถุดิบให้ได้ปริมาณมากที่สุดในราคาถูกที่สุด” เช่น ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไข่ ปลากระป๋อง
และต้องบอกว่า “วิกฤติครั้งนี้รุนแรงมาก” เพราะในสถานการณ์ปกติ คนวัยหนุ่ม-สาว จะทำงานในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการในเมือง แล้วส่งเงินไปให้พ่อแม่ที่เป็นเกษตรกรในชนบท แต่เมื่อภาคอุตสาหกรรมกับภาคบริการได้รับผลกระทบ เช่น สถานที่ทำงานถูกสั่งปิดคนหนุ่ม-สาวต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปพึ่งพิงพ่อแม่ ทั้งที่ทราบกันดีว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจ (GDP) ในภาคเกษตรนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมและบริการ
ศิโรตม์เล่าว่า มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารบริษัทใหญ่บางแห่ง ซึ่งผู้บริหารเหล่านั้นก็รู้สึกกังวลกับ “สถานการณ์ของไทยอยู่ในภาวะล่อแหลมที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งไม่ใช่เพราะความชอบหรือไม่ชอบทางการเมือง แต่มาจากความอดอยากไม่มีกิน” โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวคนไทยกลุ่มที่มีกำลังทรัพย์จะไปแจกจ่ายอาหารช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่บ้าง ยึดข้าวของ
บริจาคบ้างเพราะไม่อยากให้คนมารวมตัวกันเดี๋ยวโรคจะระบาด
ทั้งหมดนี้ ศิโรตม์สรุปว่า เป็นเพราะ “รัฐบาลตั้งโจทย์ผิด” เห็นว่าสุขภาพดีกับชีวิตดีเป็นคนละเรื่อง ซ้ำร้าย “สื่อมวลชนไทยยังช่วยผลิตซ้ำความเข้าใจผิดของรัฐ” เช่น โหมประโคมข่าวแนวคิดของบุคลากรสาธารณสุขบางกลุ่มที่เชื่ออย่างสุดโต่งว่าต้องล็อกดาวน์เท่านั้นโดยไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่นจึงจะสยบไวรัสร้ายได้ ทั้งที่บนโลกนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่แก้ปัญหาสุขภาพพร้อมกับดูแลปากท้องประชาชนไปด้วย
เนื่องในโอกาสครบ 1 เดือนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง “ที่นี่แนวหน้า” จึงขอกล่าวถึงผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์ และหวังว่ารัฐบาลจะให้น้ำหนักกับภาคธุรกิจทุกประเภท ในการหาทางออกร่วมกันว่าจะเปิดแบบลดความเสี่ยงได้อย่างไร เพื่อให้กิจการต่างๆ กลับมาดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องว่างงาน ขาดรายได้ อดอยาก และก่อความรุนแรงอย่างในต่างประเทศ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี