สัปดาห์นี้ความรู้สึกของคนในโลกและของคนไทยต่อโควิด-19 ยังเป็นเรื่องใหญ่อยู่ ถึงจะมีแนวโน้มว่า หลายประเทศเริ่มมีนโยบายจะเปิดประเทศเพราะตัวเลขของผู้ป่วยบางแห่งเริ่มดีขึ้นอาทิตย์นี้ ผมขอเสนอเรื่องโควิด-19 ในกรณีที่แปลกแต่จริงมาแบ่งปันกับผู้อ่าน 3 เรื่อง
(1) คือ ตัวเลขโควิด-19
1.1 ปัจจุบัน ตัวเลขทั้งโลก คนป่วย 2,637,673 คน คนตาย 184,217 คน และหายกลับบ้านแล้ว 717,625 คน ตัวเลขรวมชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่เจริญที่สุดในโลก ซึ่งมีระบบการแพทย์ การวิจัย มีโรงเรียนแพทย์ที่ดังที่สุดในโลก กลับมี
ผู้ป่วยเป็นอันดับแรกของโลก คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา มีโรคระบาดเกิดขึ้นที่อื่น แต่ไม่เคยลามมาถึงสหรัฐอย่างมากมายเช่นในปัจจุบัน กลายเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยและคนตายมากที่สุดในโลก
1.2 แปลกแต่จริงเรื่องโรคโควิด-19 คือ สหรัฐมีผู้ป่วยแล้วกว่า 848,994 คน มีคนตายแล้วกว่า 47,676 คน ถือว่า มากที่สุดในโลก ที่แปลกแต่จริงคือ นอกจากผู้ป่วยมากที่สุด ตายมากที่สุด แต่จำนวนผู้หายป่วยในอเมริกากลับมีจำนวนน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เห็นเรื่องที่แปลกแต่จริงคือประเทศเจริญที่สุดอย่างสหรัฐ ควรจะมีการรักษาพยาบาลที่ดี
กว่านี้ แต่จำนวนผู้ป่วยรักษาหายกลับน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นเช่น ไทย เยอรมนี เกาหลี และจีน
1.3 ประเทศไทยช่วงแรกนำประเทศอาเซียน จำนวนผู้ติดเชื้อบัดนี้ ประเทศในอาเซียนประเทศอื่นๆ ซึ่งนำเราไปแล้ว เช่น สิงคโปร์
(2) แปลกแต่จริงเรื่องที่ 2 คือ จะรักษาชีวิตไว้ หรือจะรักษาระบบเศรษฐกิจ
ทั้งๆ ที่ตัวเลขในสหรัฐ ถึงแม้ว่าจะดีขึ้นบ้าง คือ จำนวนผู้ตายเช่น ในรัฐนิวยอร์กจะเริ่มดีขึ้นบ้าง คือ เคยตาย
วันละ 800 เหลือตายวันละ 600 รัฐบาลของทรัมป์กลับพยายามเอาใจประชาชน (ฐานเสียง) ด้วยการบอกว่า ถึงเวลาจะเปิดประเทศได้แล้ว ในอเมริกา ทั้งๆ ที่ฝ่ายการแพทย์เตือนว่า ถ้าเปิดเร็วไป โรคจะกลับมาอีก เห็นได้ว่า นโยบายทรัมป์เห็นว่า การรักษาชีวิตสำคัญน้อยกว่าคะแนนนิยมจากแรงกดดันจากฐานเสียงของเขา และแปลกแต่จริงคือ ในอเมริกา ดูเหมือนว่า ความอยู่ดีกินดีต้องมาก่อนความตายของคนในสหรัฐ เพราะตัวเลขยังดีขึ้นไม่พอ ถ้าจะเปรียบเทียบกับไทย ผู้ป่วยของไทยลดลงมาก แต่รัฐบาลก็ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก
ในขณะที่ประเทศสหรัฐมีผู้ป่วยและตายมากที่สุดในโลกยังคิดจะเปิดประเทศเพื่อเอาใจฐานเสียงของเขา เมื่อผู้ว่ารัฐบางรัฐเตือนว่า ถ้าเปิด ก็ต้องระมัดระวัง เพราะบางรัฐยังไม่พร้อม จำนวนผู้ป่วยอาจจะสูงขึ้นและอาจกลับไปมีพฤติกรรมแบบเก่าคือ อยู่บ้านแล้วปิดกิจกรรม ทรัมป์กลับโจมตีหาว่า ผู้ว่าการรัฐเหล่านั้นอยู่พรรคตรงข้าม เล่นการเมือง ซึ่งแปลกแต่จริงอีกอย่างหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์มีที่ปรึกษาทางการแพทย์มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ พูดความจริง แต่เขาก็ไม่ฟัง เมื่อมีการประท้วงในบางรัฐ เช่น รัฐจอร์เจีย ซึ่งผู้ป่วยไม่ดีขึ้น ทรัมป์กลับไม่ห้าม ให้เปิดธุรกิจ จะให้เปิดประเทศ เขากลับสนับสนุน ที่แปลกคือ การประท้วงเหล่านั้น ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มที่เป็นฐานเสียงของเขาเองที่อยู่กันใกล้ชิด ไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม อาจจะเป็นพาหะระบาดได้ ทรัมป์ไม่สนใจ สนใจว่า เขาจะได้รับคะแนนนิยมหรือไม่
ที่แปลกแต่จริงอีกเรื่องหนึ่งในสหรัฐคือ ผู้ว่ารัฐบางรัฐบอกว่า ถ้าจะเปิด ก็ต้องมีการวินิจฉัย (Test) ผู้เสี่ยงโควิด-19 มากขึ้น จะได้กักกันให้เหมาะสมเพราะโรคนี้มีอาการอยู่ข้างในไม่แสดงออก คือเปิดธุรกิจได้ แต่ต้องมีระบบการวินิจฉัยโรค (Test) โควิด-19 ให้มากกว่านี้ แต่แปลกที่ทรัมป์บอกว่า การมีวินิจฉัยโรค (Test) ของอเมริกามากที่สุดในโลก ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะเขานำตัวเลขรวมมาวิเคราะห์ เขาควรจะพิจารณาเรื่อง Test ต่อจำนวนประชากรเพราะประชากรของอเมริกามีถึง 320 ล้าน นับเป็นตัวเลขรวม โดยไม่นับต่อหัวของประชากร
ที่แปลกแต่จริงคือ เมื่อผู้ว่าของรัฐขอให้ทรัมป์ช่วยในฐานะผู้นำประเทศเพิ่มจำนวน Test (การวินิจฉัยโรค) มากขึ้น ก็โจมตีและปัดว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เพราะเขาไม่เคยรับความผิด แถมยังโกหกดำน้ำไปเรื่อย ให้คนลืมว่า พูดอะไรไปบ้างในอดีต
(3) แปลกแต่จริงอีกเรื่องในอเมริกาก็คือ มีคนอเมริกันจำนวนมากเชื่อโดยไม่คิดว่าที่ทรัมป์พูดถูกหรือผิด เพราะ
ในอเมริกา ทรัมป์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ไม่ว่าทั้งทวิตเตอร์หรือสถานีโทรทัศน์ที่สนับสนุนทรัมป์ คือ Fox News ซึ่งพูดทุกๆ อย่างตรงข้ามกับความจริงตลอดเวลา
ที่น่าเศร้าและแปลกแต่จริงอีกเรื่องคือ ทรัมป์กลัวจะเสียคะแนน จะมีการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ จึงถือโอกาสใช้เหตุการณ์โควิด-19 หาเสียงไปด้วย เช่น ทุกๆ วันจะมีผู้ว่าฯของรัฐนิวยอร์ก ชื่อแอนดรูว์ โคโม ให้สัมภาษณ์เรื่องโควิด-19 ในรัฐนิวยอร์กทุกๆ วัน ถึงเขาไม่ได้เป็นเบอร์ 1 ของอเมริกาแต่เป็นผู้ว่าฯของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีคนตายกว่าหนึ่งหมื่นคนและมีผู้ป่วยเป็นแสนคน วิธีการพูด ก็พูดความจริงไม่ได้เน้นการเมือง หาทางแก้ปัญหาและความนิยมของเขาในระดับประเทศสูงถึง 70%
พอทรัมป์เห็นคู่แข่ง ซึ่งถึงแม้ไม่ใช่คู่แข่งชิงระดับประธานาธิบดี แต่เป็นที่ยอมรับของคนดูอเมริกัน แต่กลัวว่า
ฐานเสียงของเขาจะหนีไปฟังโคโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กพูด ทรัมป์ก็เปิดการแถลงข่าวทุกวันประมาณ 2 ชั่วโมง ช่วง
6 โมงถึง 1 ทุ่ม และมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ รวมทั้งรองประธานาธิบดี Pence ด้วย แต่ทรัมป์พูดเองคนเดียวและไม่พูดเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-19 แทนที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญพูด เขากลับใช้เป็นเวทีหาเสียง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ในประเทศไทยก็คงถูกโจมตีหนักจากสื่อและฝ่ายค้าน เพราะเอาแต่ความดีใส่ตัวเอง และเน้นคะแนนนิยมในการให้สัมภาษณ์แปลกแต่จริง ทั้งๆ ที่ออกในช่วงเวลาสำคัญคือประมาณ 6 โมงถึง 1 ทุ่ม Rating สูง แต่คนอเมริกันเห็นด้วย
ต่ำแค่ 40%
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
ชาวอเมริกันรวมตัวกันประท้วงการปิดเมืองต่อรัฐบาลระดับมลรัฐหลายแห่ง อันตรายเพราะไม่เว้นระยะห่างทางสังคม
การยกเลิกมาตรการปิดพื้นที่ในเมืองแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา โดยให้ไปชายหาดได้ ซึ่งสร้างความเสี่ยงติดเชื้อมาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี