มาหลบภัย COVID-19 ที่หมู่บ้านประมง อำเภอสัตหีบ ชื่อบ้านอำเภอ เป็นชุมชนดั้งเดิมที่ทำการประมง ในช่วงหลังมีภัตตาคารอาหารทะเลมาตั้งอยู่ริมทะเลอยู่หลายร้าน
ก่อนหน้า COVID-19 จะมาเยือนประเทศไทย จะมีเรือประมงออกจับปลา ปู หมึก เห็นแสงไฟสีเขียวที่ใช้ล่อหมึก
เรียงเป็นแถวตามแนวขอบฟ้าในยามค่ำคืน
แสงไฟสีเขียวในวันนี้ลดน้อยเหลือเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยตระการตา สอบถามจึงรู้ว่าชาวบ้านจับปลาจับ
สัตว์ทะเลแล้วขายไม่ได้
ปลา ปู กุ้ง หอย ที่มีราคาแพงขายไม่ได้ เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ จะขายคนพื้นที่ก็ไม่มีใครซื้อกิน เพราะบางอย่างราคาสูง เขาจึงหยุดออกเรือกันเป็นจำนวนมาก เพราะออกไปก็ไม่คุ้มค่า ชาวประมงบ้านอำเภอเล่าให้กับผม
ได้ยินข่าวว่าชาวเลหาดราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ก็เจอสภาพเดียวกันกับชาวประมงที่นี่ แต่โชคดีเพราะมีหน่วยงานเข้าดำเนินการจัดการนำปลาที่จับได้ ทำเป็นปลาเค็ม ปลาแห้ง ไปแลกข้าวหอมมะลิจากชาวนากุดชุม จังหวัดยโสธร ที่อยู่ไกลโพ้น กองทัพอากาศใช้เครื่องบินที่ต้องบินจากดอนเมืองไปรับข้าวยโสธร บินไปส่งข้าวแล้วรับปลาจากภูเก็ต บินย้อนกลับไปส่งปลาให้ชาวนาที่ยโสธร แล้วจึงบินกลับกรุงเทพฯ
“เป็นภาพที่งดงาม” สื่อมวลชนบางสำนักสรรเสริญ พร้อมชื่นชมว่าเป็นวัฒนธรรมดีที่ได้มีการรื้อฟื้น นำคนจนฐานล่างของสังคมที่อยู่ห่างไกลกันมาแลกเปลี่ยนเกื้อกูลกัน โดยมีกองทัพอากาศหนุนช่วย และอยากให้วิธีเช่นนี้เจริญงอกงามพัฒนาต่อไป ถึงการแลกเปลี่ยน(Barter) ข้าวของ เช่น หอม กระเทียมกับชาวไทยภูเขาและส่วนต่างๆ
ผมฟังแล้วก็อดเคลิบเคลิ้มไม่ได้ ที่ได้เห็นความฝันของคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยากเห็น วันคืนย้อนถอยหลังกลับไปเหมือนเมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว ที่สังคมยังใช้ระบบแลกเปลี่ยน (Barter) สินค้ากัน
มีความปรารถนาดีที่อยากเห็นชุมชน คนตัวเล็ก ตัวน้อยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยากเช่นขณะนี้
ชื่นชมที่ได้เห็นหน่วยงานรัฐ เช่น กองทัพอากาศจัดเครื่องบินอำนวยการขนส่ง แม้จะเสียค่าใช้จ่ายในการบินซึ่งมีค่าสูงมากกว่าปลา หรือข้าวที่นำมาแลกกัน
ผมก็อยากฝันเหมือน NGO สื่อมวลชน และคนที่นิยมชื่นชมวิถีชีวิตดั้งเดิม 4,000 ปีมาแล้ว
แต่ความฝันของผมสะดุดหยุดลงตรงที่ว่า การแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter) ที่เกิดขึ้นจะยั่งยืน พัฒนาต่อไปอย่างที่หลายคนต้องการได้หรือไม่ เพราะต้นทุนในการดำเนินการทั้งการขนส่งและการจัดการในครั้งนี้สูงมาก และขี่ช้างจับตั๊กแตน
ลำพังการปฏิบัติการชั่วครั้งชั่วคราว โดยใช้เงินภาษีของประชาชนมาอุดหนุน เพื่อให้ได้ภาพความแปลก ความพอใจของคนชอบฝันตามอุดมคติดั้งเดิม หน่วยงานก็ได้ประชาสัมพันธ์ออกสื่อมวลชนจำนวนมาก
ผมมีโอกาสรู้จักชาวนากุดชุม ยโสธร ที่รวมตัวปลูกข้าวอินทรีย์ มีโรงสีและขายข้าวไปถึงยุโรปด้วยตัวของเขาเอง
ชาวนากุดชุมนี้เคยทำเบี้ยกุดชุม (คล้ายกับคูปองในศูนย์อาหาร) เพื่อใช้ซื้อขายสินค้าในชุมชน แต่จำต้องยุติเพราะทางการเห็นว่าเป็นการดำเนินการจัดให้มีธนบัตรของชุมชนตนเองไม่ได้
ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชาวเลราไวย์ เมื่อครั้งชุมชนแห่งนี้โดนคลื่นยักษ์สึนามิและมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องสิทธิในที่ดิน ผมจึงรู้สึกดีที่เห็นชาวราไวย์ได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลในครั้งนี้
แต่ก็อยากจะยืนยันว่า วันคืนของสังคมจะไม่หวนกลับไปเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter) ซึ่งมีปัญหามากมายและยังด้อยประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
1) สินค้าที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกัน จะต้องตรงกับความต้องการของทั้งสองฝ่าย ทั้งชนิดของสินค้า และในยามที่มีความต้องการตรงกันทั้งสองฝ่าย
2) สินค้าที่แลกเปลี่ยนกันจะต้องสามารถแบ่งย่อยหรือแบ่งสัดส่วนได้ เช่น ถ้ามีไก่ 5 ตัว จะนำไปแลกกับลูกวัวครึ่งตัว ย่อมจะเป็นไปได้ยาก หากต้องการนำลูกวัวไปเลี้ยง
3) ต้นทุนในการจัดการสูงมาก เพราะต้องแสวงหาข้อมูลว่าใครต้องการสินค้าที่ตรงกับสินค้าของเรา ค่าขนส่งอาจมากเกินคุ้ม และไม่สามารถนำเงินภาษีประชาชนไปใช้สนับสนุนดังกรณีการขนส่งทางอากาศที่นำข้าวชาวนาแลกปลาชาวเล
สังคมโลกได้พัฒนาสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งสามารถใช้เงินตราแก้ปัญหาและจุดอ่อนของการแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter) ข้างต้นได้ผลดีมาหลายพันปีแล้ว
หากกองทัพอากาศจะนำเงินเท่ากับค่าใช้จ่ายในการบิน ไปซื้อข้าวที่ภาคใต้ซึ่งปลูกที่นครศรีธรรมราช ตรัง หรือสุราษฎร์ธานี ซึ่งอยู่ใกล้ภูเก็ต แล้วขนไปช่วยชาวเลราไวย์ ก็จะประหยัด มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วกว่าจะนำข้าวจากยโสธรมาให้ชาวเลที่ภูเก็ต
ชาวนากุดชุม ยโสธร เขาก็ขายข้าวไปตามปกติแล้วนำเงินไปซื้อปลาจากชาวบ้านในท้องถิ่นก็จะมีประสิทธิภาพกว่า ในฐานะที่ชาวนากุดชุม ยโสธรมีประสบการณ์ความรู้ด้านการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการตลาด หากจะช่วยถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์เมื่อโรคระบาดหยุดลงให้กับชาวเลราไวย์ ก็จะตรงกับความสามารถและยั่งยืนกว่า
แม้ผมจะเข้าใจดีว่า งานนี้เป็นเรื่องของจิตใจดีที่ช่วยเหลือกันในยามยาก และอาจต้องการประชาสัมพันธ์ซึ่งสอดรับกับความฝันของคนจำนวนหนึ่ง แต่ก็ต้องเตือนที่ไม่อยากให้ฝันไปไกล
อีกประเด็น ที่คนจำนวนหนึ่งมีมายาคติต่อพ่อค้าคนกลาง คิดว่าการมีพ่อค้าคนกลางจำนวนมากไม่มีประโยชน์อันใด ต้องตัดพ่อค้าคนกลาง หรือลดทอนพ่อค้าคนกลางลง
ในฐานะที่ทำวิจัยด้านการตลาดสินค้าเกษตรตลอดมาอยากชี้ข้อเท็จจริงจากตัวอย่างของการซื้อขายข้าวว่า ที่ผู้บริโภคซื้อข้าวสารในราคาสูงกว่าราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาขายได้ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าผู้บริโภคไม่ได้ซื้อข้าวแต่เพียงอย่างเดียว แต่ซื้อข้าวร่วมกับบริการทางการตลาดหลายอย่าง
1. ข้าวที่ผู้บริโภคซื้อไม่ได้ปลูกในบริเวณนั้น แต่ปลูกในท้องที่อื่นที่ต้องมีคนขนส่งมาขายให้
2. ผู้บริโภคซื้อข้าวสาร แต่ชาวนาขายข้าวเปลือก แสดงว่าระหว่างทางมีคนแปรรูป คือ สีข้าวจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสารให้แล้ว
3. ข้าวที่ผู้บริโภคซื้อในวันนี้ ชาวนาปลูกและเก็บเกี่ยวมาหลายเดือนก่อนหน้า แสดงว่ามีคนกักเก็บข้าวให้บริโภค
4. ผู้บริโภคซื้อข้าวทีละ 2 กิโลกรัมบ้าง 5 กิโลกรัมบ้างแสดงว่ามีคนบริหารจัดการใส่ถุง หีบห่อ ตีตราให้เรามั่นใจว่าได้ข้าวที่มีคุณภาพ รสชาติ ตามความต้องการ และสะดวกที่จะแบ่งซื้อ ทยอยนำมาบริโภค
ทั้งหมดนี้ก็คือ บริการทางการตลาด การขนส่งกักเก็บ แปรรูป ที่ผูกติดอยู่กับการซื้อข้าว ที่มีคนกลางดำเนินการจัดการให้มาก่อนหน้านั้นแล้ว
หากคนกลางมีจำนวนน้อย ตลาดของบริการทางการตลาดอาจถูกผูกขาด ผู้บริโภคและชาวนาก็เสียเปรียบจึงจำเป็นต้องเพิ่มการแข่งขันให้มีคนกลางมากขึ้นเพื่อให้เกิดการแข่งขัน
ข้าวชาวนาแลกปลาชาวเลในครั้งนี้ กองทัพอากาศได้ทำหน้าที่บริการทางการตลาดอย่างไม่ใช่มืออาชีพ ต้นทุนจึงสูงมาก แต่ผู้รับภาระเป็นประชาชนคนจ่ายภาษี
ดีครับ แสดงน้ำใจกันในยามนี้ แต่อย่าทึกทักฝันว่าจะกลับไปใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter) เหมือนเมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี