ถึงเวลานี้ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนเริ่มปรับตัวได้กับประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 4 รวมทั้งการปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
รัฐบาลเองก็ตั้งการ์ดไว้สูง ในการต่อสู้กับเชื้อร้ายตัวนี้ จนทั่วโลกชื่นชมว่าประเทศไทยแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 ได้ดีที่สุด
ก็ต้องขอบคุณผู้ใจบุญทั้งหลายที่นำข้าวปลาอาหาร ไปแจกจ่ายให้กับเพื่อนร่วมชาติ ในช่วงที่ต่อสู้กับวิกฤติดังกล่าว
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563ถึง 30 เมษายน 2563 นั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการขยายประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปหรือเปล่า หรือจะผ่อนปรนอะไรบ้างก็ยังไม่ทราบกัน ต้องรอลุ้นในการประชุมครม. 28 เมษายนนี้
มีหลายคนเรียกร้องให้ปลดล็อกผ่อนคลายเคอร์ฟิว รวมทั้ง ข้อกำหนดต่างๆ ที่ในทุกจังหวัด ได้ประกาศปิดสถานที่อโคจร หรือสถานที่ที่มีคนชุมนุมทำกิจกรรมกันเยอะๆ เพราะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ
น่าสนใจ กรณี รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Thira Woratanarat เกี่ยวกับการระวังการปลดล็อก และเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 มีเนื้อหาระบุว่า
บอกตรงๆ ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เราจะเห็นคลื่นระลอกที่ 2 ตามมาหลังจากการปลดล็อก ในลักษณะคล้ายสิงคโปร์และญี่ปุ่นผสมกัน
ถามว่าเหตุใดจึงมีความเห็นเช่นนั้น สิงคโปร์ระบาดหนักระลอกสอง เน้นเกิดในกลุ่มที่เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศ
ญี่ปุ่นระบาดหนักระลอกสอง เน้นเกิดในกลุ่มที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ทั้งจากการทำงานและชีวิตส่วนตัว
หากมองอนาคตอันใกล้ จากข่าวสารที่ฟังจากสื่อสังคม เกี่ยวกับแนวทางการปลดล็อกที่หลายฝ่ายกำลังชงและผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตด้านการกิน การช็อป เสริมสวยตัดผม ท่องเที่ยว ตลอดจนการเปิดกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม
แนวทางดังกล่าวต้องรอบคอบอย่างยิ่ง หากตัดสินใจเปิดเร็วโดยไม่พร้อม เราจะเจอทั้งการระบาดในกลุ่มคนงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานทั้งในโรงงาน ก่อสร้าง และงานบริการหลากหลาย
ทั้งมีคำแนะนำว่า
หนึ่ง รัฐควรหน่วงเวลาการปลดล็อก ให้มีจำนวนเคสน้อยๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้คำแนะนำของผมยังคงเดิมคือ ดีเดย์ปลดเมื่อแตะ5% ราวกลางเดือนพฤษภาคม เพราะ ณตอนนั้น เคสหลงเหลือที่ต้องการการดูแลรักษาในโรงพยาบาลจะเหลือน้อยลงมาก ทำให้ระบบสาธารณสุขมีเวลาพัก และเตรียมรับระลอกสอง รวมถึงมีช่วงเวลาในการเคลียร์ ชดเชยระบบดูแลรักษาคนไข้โรคอื่นๆ ให้ลงตัว
สอง คนที่อาศัยอยู่ในเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร และเทศบาลเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ จง “Keep low profile” หากทำได้
กล่าวคือ ยังยืนหยัดที่จะอยู่นิ่งกับที่ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น ทำงานที่บ้านให้มากๆ ไปที่ทำงานน้อยๆ เน้นการทำงานติดต่อทางออนไลน์หากต้องออกจากบ้าน ต้องใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างจากคนอื่นๆ และรีบทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว
ครับก็เป็นข้อมูลสำคัญ ที่รัฐบาลควรนำไปพิจารณา
และสำหรับผมมองว่า รัฐบาลควรทอดเวลาไปอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะปลดล็อกผ่อนคลายกิจกรรมบางอย่าง ไม่เช่นนั้นแล้วก็เหมือนกับที่นายกฯ เคยพูดไว้ถ้าด่วนปลดล็อก แล้วไวรัส-19 ตลบหลังแพร่กระจายอีก สิ่งที่ทำไปก็สูญเปล่า แล้วใครจะรับผิดชอบ???
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี