มนุษย์เป็นสัตว์โลก (Species) ชนิดหนึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของดาวโลก (The Planet)ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อมรวมกันเป็นระบบนิเวศ (Eco System) ต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยมนุษย์มีสติปัญญาเหนือสัตว์มีชีวิตอื่นๆ ทุกสายพันธุ์บนโลก จึงถือตนว่าเป็นสัตว์โลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ด้วยที่มนุษย์นั้นมีความสามารถในการจะเป็นผู้สร้างสรรค์ หรือผู้ทำลายได้ เมื่อเป็นผู้ใช้สอยทรัพยากร จึงสามารถจะใช้ธรรมชาติแวดล้อมอย่างทะนุถนอมเพื่อความยั่งยืนได้เช่นกัน นัยหนึ่งพูดได้ว่า ความเป็นไปในดาวโลกนี้นอกเหนือจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นไปตามจังหวะของมัน เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติต่างๆ แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์เป็นสำคัญ
เป็นเวลาร่วม 30 ปีแล้ว ที่ชาวโลกได้ตระหนักถึงสภาวะโลกร้อนจากการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ และจากการดำรงชีวิต ทั้งการกินอยู่ การผลิต และการสัญจรไป-มา ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มอุณหภูมิของโลกและการเปลี่ยนแปลงผันแปรของฤดูกาล การเคลื่อนไหวของลม น้ำ อากาศ และพื้นดิน
หลังจากชาวโลกเริ่มตื่นตัว วิตกกังวลในเรื่องโลกร้อน ก็ได้เริ่มหันมาให้ความสนใจในเรื่องการอยู่กับธรรมชาติแวดล้อมอย่างสมน้ำสมเนื้อ เพื่อรื้อฟื้นความสมดุล และความปลอดภัย
ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ และการเพียรพยายามในระดับหนึ่งของการควบคุมการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ ชาวโลกก็ได้เผชิญกับโรคระบาดต่างๆ มากขึ้นๆเป็นระยะๆ และแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จะด้วยความอึดของตัวเชื้อโรค หรือจะด้วยการเชื่อมโยงของมนุษย์ด้วยกัน ผ่านการข้องแวะด้วยการเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หรือด้วยการนำเชื้อโรคมาสู่ตัวมนุษย์เองจากสิงสาราสัตว์ที่มนุษย์นำมากักขัง เพาะพันธุ์ เลี้ยงดู และบริโภค ก็เสมือนมนุษย์กำลังซ้ำเติมตนเองด้วยการสร้างโลกร้อน และการก่อโรคระบาดร้ายๆ ต่างๆ
ชาวพุทธได้รับการฝึกสอน บ่มเพาะในเรื่อง“กรรม” ความโยงใยของการกระทำกับผล หรือเรื่องเหตุและปัจจัยของการโยงใย ในเรื่องของการไม่เบียดเบียนกัน และในเรื่องของการอยู่กับและเคารพกับธรรมชาติแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งมนุษย์จะเอาแต่ฝ่ายเดียวมิได้ เพราะผลของการกระทำใดๆ จะหวนกลับมาที่ตัวมนุษย์เอง
น่าจะถึงเวลาแล้วที่เราชาวพุทธจะกลับมาทบทวนตัวเอง มาตั้งหลักวิถีชีวิตกันใหม่ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของดาวโลก จะต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ให้ได้อย่างพอเพียง และลด และจำกัด และละเว้นการละเมิดสิทธิ์ของธรรมชาติแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เราชาวพุทธคงต้องมาทบทวน รื้อฟื้น ความเข้าอกเข้าใจกันเกี่ยวกับหลักพุทธ หรือคำสั่งสอนต่างๆ ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในการดำรงชีวิตเพราะพุทธศาสตร์ เป็นวิชาชีวิต องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบรมครู (The Great Teacher) ผู้ทรงสอนมวลมนุษย์ว่า จะใช้ชีวิตอย่างไรให้สงบ ราบรื่น เรียบง่าย เพื่อการหลุดพ้นจากอวิชชา จากสภาวะของการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งจะดำรงได้ก็ด้วยการถือศีล (5) ฝึกสมาธิ ฝึกปัญญา และเรียน คือการมีเมตตาต่อผู้อื่น และต่อธรรมชาติแวดล้อม
ชาวพุทธเราทำได้ เพราะเรามีบรมครูที่สุดประเสริฐแล้ว พระองค์ได้ทรงแนะนำเส้นทางไว้ให้แล้ว
เมื่อชาวพุทธทำได้ และส่งผลดี ก็สามารถจะเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลกได้ด้วย โลกเราก็จะอยู่กันได้อย่างมีความสุข มีความสงบ ร่มเย็น อย่างยั่งยืนได้อย่างแน่นอน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี