ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจสักเท่าไหร่กับการประกาศขยายเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินออกไปอีกเป็นเวลา 1 เดือน โดยมีการผ่อนปรนจาก กทม. ใน 8 กลุ่มสถานที่ที่จะอนุญาตให้เปิดได้ ประกอบด้วย
1.ร้านอาหาร นั่งทานที่ร้านได้ แต่ต้องจัดที่นั่งห่างกัน 1.5 เมตร
2.ตลาด และตลาดนัด ให้ขายสินค้าได้ทุกประเภท
3.สถานที่ออกกำลังกาย เป็นประเภทที่มีระยะห่างกัน
4.สวนสาธารณะ ให้เข้าใช้ออกกำลังกายพักผ่อนได้ แต่ห้ามจับกลุ่มสังสรรค์
5.ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ต้องหยุดทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกๆ 2 ชม. ไม่ให้มีการนั่งรอในร้าน
6.ร้านตัดขนสัตว์ และคลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์ นำสัตว์เข้าร้านได้ 1 คน/1 ตัว เท่านั้น
7.โรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาล
8.สนามกอล์ฟ และสนามฝึกซ้อม
โดยทั้ง 8 ประเภทสถานที่ จะต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด แสดงให้เห็นถึงความไม่ประมาทในการบริหารการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ที่ถึงแม้จะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่อันตรายจนเกินไป ตลอดจนตัวเลขผู้รักษาหายแล้วที่มากอย่างมีนัยสำคัญ ก็ไม่ได้หมายความว่ามาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดจะหยุดลงได้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าตัวเลขที่ทรงตัวของประเทศไทยเป็นเพราะมาตรการที่เข้มงวดควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อเอาไว้ และมีการ
คาดการณ์จากต่างประเทศว่ามาตรการการควบคุมจากภาครัฐในทุกประเทศยังต้องคงต่อไปจนกว่าจะมีวัคซีนรักษาโรคที่ใช้ได้จริง? แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงต่อไปคือมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่ต้องมีความชัดเจนเสียทีเพราะปากท้องของประชาชนก็ไม่ใช่เรื่องที่รอได้เช่นเดียวกัน
ชุดมาตรการเยียวยาของรัฐบาลที่ออกมาในระยะแรกของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวดเร็ว แต่อาจจะยังไม่ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบเสียทั้งหมด ด้วยระบบฐานข้อมูลประชากรของทางภาครัฐที่อาจไม่ครบถ้วนในเรื่องอาชีพและรายได้ของแรงงานนอกระบบซึ่งนั่นทำให้การคัดแยกผู้ได้รับผลกระทบเป็นไปอย่างยากลำบาก และยิ่งเป็นการลงทะเบียนรวมหลายกลุ่มอาชีพพร้อมๆ กันซึ่งทำให้ซับซ้อนขึ้นไปอีกแต่เมื่อจัดการได้เข้าที่เข้าทางแล้วก็คาดว่าจะจ่ายได้อย่างครบถ้วนได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นอกจากนั้นแล้วมาตรการในการหาเงินทุนเพื่อบริหารสถานการณ์และหมุนระบบเศรษฐกิจ มีการออกพ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท มาแล้ว แต่ที่กำลังเป็นที่จับตามองของสังคมคือการปรับงบประมาณปี’64 ตามลำดับความสำคัญ จึงทำให้เกิดความน่าเป็นห่วงว่าเมื่องบประมาณหลายกระทรวงใหญ่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จะนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่?
โดยมีกระแสข่าวว่ามีมาตรการให้ลดงบประมาณทุกกระทรวงโดยให้แต่ละกระทรวงทบทวนงบของตนเองว่ามีส่วนใดที่ตัดออกได้บ้างและเสนอเข้าที่ประชุม โดยกระทรวงกลาโหมเสนอลดงบประมาณจำนวน 17,000 ล้าน กระทรวงมหาดไทยเสนอลด 4,900 ล้าน กระทรวงคมนาคมเสนอลด 3,400 ล้าน กระทรวงเกษตรฯเสนอลด 1,100 ล้าน และกระทรวงสาธารณสุขเสนอลดงบประมาณอยู่ที่ 938 ล้าน เพื่อนำงบประมาณดังกล่าวเข้ามาเป็นงบกลางในการบริหารสถานการณ์ แต่มีการทุบโต๊ะโดยนายกฯให้ลดงบประมาณจากกระทรวงใหญ่มากกว่าที่เสนอ
โดยกระทรวงที่โดนหนักสุดน่าจะเป็นกระทรวงคมนาคมที่โดนทุบโต๊ะยึดงบกว่า 10,000 ล้าน ซึ่งถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงก็ต้องให้เครดิตนายกฯ ที่ไม่เล่นการเมืองในสถานการณ์วิกฤติ แต่กล้าตัดสินใจใช้อำนาจเรียกงบประมาณจากกระทรวงที่ไม่จำเป็นในช่วงนี้ก่อน แต่ก็อาจต้องระวังเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองจากพรรคร่วมด้วย การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินและตั้งศูนย์โควิดในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้รัฐมนตรีว่าการหลายท่านต้องสูญเสียบทบาทการบริหารไป จึงต้องเดินเกมให้รอบคอบ จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ในระยะเวลาที่ผ่านมาฝ่ายค้านตลอดจนเครือข่ายผู้สนับสนุนฝ่ายค้านเน้นโจมตีเรื่องการบริหารเศรษฐกิจในสภาวะวิกฤติ โดยมีการเสนอมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่การปฏิบัติจะทำได้จริงหรือไม่? นั่นคือเรื่องของฝ่ายบริหารที่ต้องพิจารณา โดยทางคุณหญิงสุดารัตน์ จากพรรคเพื่อไทยได้ออกมาพูดถึง 5 มาตรการก่อนการเปิดเมือง ซึ่งว่าด้วยเรื่องการออกมาตรการควบคุมเพื่อเปิดให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ อาทิ การออกมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อควบคุมธุรกิจในกลุ่มเฝ้าระวังให้สามารถพอหายใจหายคอได้บ้าง หรือการสนับสนุนงบประมาณในด้านการสาธารณสุขต่อไปซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่รัฐบาลทำอยู่แล้วไม่น่านำมาพูดให้เป็นประเด็น ที่น่าสนใจคือการโจมตีรัฐบาลโดยตรงจากเครือข่ายกลุ่มอดีตอนาคตใหม่ อย่างนายธนาธร แกนนำกลุ่มก้าวหน้าที่ออกมาพูดถึงรัฐบาลในทำนองว่าผู้มีอำนาจในรัฐบาลสนใจเรื่องการอยู่ต่อมากกว่าประชาชน? ที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามต่อคำถามของนายธนาธรว่าเล่นการเมืองในภาวะวิกฤติบ้านเมืองหรือไม่? เพราะสิ่งที่กล่าวอ้างมาล้วนอยู่บนฐานวิสัยทัศน์ที่ดูจะคับแคบเกินไปหรือไม่? เพราะหากมองดูให้ดีการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่ผ่านมาทำให้เห็นว่ารัฐบาลก็มีความสามารถในการบริหารสถานการณ์วิกฤติและมุ่งรักษาชีวิตของประชาชน ด้วยมาตรการทางการแพทย์และการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้ประเทศไทยที่เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบลำดับต้นๆ สามารถรอดพ้นจากสภาวะวิกฤติมา
กรณีของนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ที่ออกมาปลุกพลังมวลชนโดยมีการโพสต์เชิญชวนให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวหลังจบโควิด ซึ่งมีคนตั้งคำถามว่าท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้าประเทศไทย เป็นเวลาที่เหมาะสมต่อการแสดงพลังทางการเมืองหรือไม่? เพราะสิ่งที่เราพึงกระทำคือการสร้างความสามัคคีภายในชาติ และกอบกู้ประเทศจากวิกฤติให้เร็วที่สุด เพราะในยุคนี้ความรวดเร็วในการฟื้นตัวของประเทศคือความได้เปรียบ และขณะที่วิกฤติการแพร่ระบาดส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทั้งระบบการเงิน เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของคนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ หากประเทศไทยเริ่มตั้งตัวได้เร็วย่อมได้เปรียบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ในสถานการณ์วิกฤติที่ไม่รู้จะจบลงเมื่อใด หรือจบลงอย่างไร ประชาชนต้องสามัคคีกัน เอื้อเฟื้อกัน และอดทนเสียสละบางส่วนเพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้ ต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป รัฐบาลไม่ได้ออกมาตรการเพื่อจำกัดสิทธิของประชาชน แต่เป็นมาตรการเพื่อรักษาชีวิตของทุกคนให้อยู่รอดปลอดภัย ในวันที่มืดมิด ความสามัคคีของคนในชาติจะเป็นแสงสว่างและทางออกจะอยู่อีกไม่ไกล…..
“ให้ทุกห้องเต็มไปด้วยมิตร ให้น้ำสุรามฤตจงเปี่ยมทุกถ้วยอยู่ตลอดเวลา”
จูล่ง สามก๊ก ฉบับวณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี