วิกฤติ COVID-19 ยังอยู่กับเรา ทั้งด้านการแพทย์ กฎหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจและเรื่องระยะยาว จากนี้ไป 3 เดือน6 เดือน หรือ 2 ปี แนวทิศทางของการแก้เป็นอย่างไร
วิกฤติมาแล้วก็มาอีก ไม่ใช่มาครั้งเดียว ผมเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Permanent crisis (วิกฤติถาวร) โรคระบาดก็เช่นกัน จบโควิด-19 แล้วคาดว่าจะมีมาอีก ดังนั้นหน้าที่ของผู้นำต้องคาดคะเนให้ได้ว่าโรคระบาดจะมาอีก จะได้เตรียมตัวให้ทัน
Ted Talk 2015 ของ Bill Gates เตือนไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ว่าอนาคตของโลกจะมีโรคระบาดมาแน่นอน ควรจะเตรียมรับให้ดี เพียงแต่ครั้งนี้โควิด-19 มาแรงและเร็วกระจายไปทุกๆ ประเทศในโลกเตรียมตัวไม่ทัน ยังดีที่ไม่กระจายไปยังประเทศด้อยพัฒนาก่อน ไปโลกที่ 1 ก่อน แต่ในที่สุดประเทศโลกที่ 3 ก็ต้องเจอ
อีกแนวโน้มคือวิกฤติคล้ายทฤษฎีขนมชั้น คือ มาหลายรูปแบบ บางทีเป็นเรื่องภัยธรรมชาติ เช่น เมื่อไม่นานนี้ไฟไหม้ป่าในแคลิฟอร์เนียกับออสเตรเลีย หรือในอดีตมีวิกฤติการเงินที่รุนแรง เช่น ต้มยำกุ้งในไทย หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกา ปี 2008
ปัจจุบันโควิด-19 มาเป็นผลกระทบรุนแรงเลย แต่วิกฤติบางอย่างมาช้าๆ แต่ผู้นำคิดว่าระยะยาวรอได้ ในความเห็นของผมอย่างน้อย 2 เรื่อง
- ภาวะโรคร้อนจะเกิดแน่ๆ แต่บางคนใจเย็น คิดว่ายังไม่กระทบ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่ระวังกระทบแน่ วันหนึ่งคนกับธรรมชาติจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
- ในเมืองไทยระบบคอร์รัปชั่นที่กระจายไปทุกๆ จุด เป็นวิกฤติที่อันตรายมาก เพราะคนไทยมีค่านิยมที่ผิดๆขอให้ได้เงินมาอย่างไรไม่สำคัญ วิกฤติเรื่องนี้รุนแรงมากขึ้น หรือการที่คนไทยมีนิสัยอยากรวยเร็ว ไม่สนใจว่าได้เงินมาอย่างไร เป็นหนี้เร็ว ไม่มีวินัยทางการเงิน
- การศึกษาก็เพียงแค่สอบให้ผ่าน ไม่คิดเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจการหาความรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่ตั้งใจเรียนเพื่อนวัตกรรมและสิ่งใหม่ๆ เมื่อออกมาทำงานก็กลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ ดูจากตัวเลขคนไทยเกือบ 28 ล้านคนที่ขอรับเงิน 5,000 บาท จากรัฐบาล เห็นชัดว่าคุณภาพของคนไทยยังไม่ดีขึ้น ผมเรียกว่าเป็นวิกฤติคุณภาพคนที่รอเวลาจะระเบิด
สรุปคือ บทเรียนครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพง น่าจะปรับพฤติกรรมของคนไทยและคนในโลกได้บ้างว่าจะอยู่กับวิกฤติและจะแก้วิกฤติอย่างไร
ผมคิดว่าในภาษาอังกฤษมีคำคล้ายๆ กันหลายคำ นอกจากวิกฤติ (Crisis) แล้วก็มีคำว่า Chaos (สับสนวุ่นวาย) หรือบางครั้งเรียกว่า Disaster (ภัยพิบัติ)
ไม่ว่าจะใช้คำอะไร ในความเห็นของผมต้องจำกัดความเสียก่อนว่า วิกฤติคืออะไร
วิกฤติคือเหตุการณ์ (events) มาจากคำภาษากรีก (krisis) ที่เกิดขึ้นแล้ว หรืออาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกได้ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงและอันตรายต่อบุคคล ต่อชุมชน และต่อสังคม
เช่นเรื่อง COVID-19 มีผลกระทบทุกประเทศทั่วโลกทั้งด้าน การแพทย์ และลามไปถึงการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ชีวิตและการดำรงชีวิต เพราะ COVID-19 เกิดขึ้นเร็วมากโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้ามาก่อน เรียกว่า เป็นภาวะฉุกเฉินได้
วิกฤติจึงต้องมีผู้นำที่จัดการวิกฤติเหล่านี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี ถ้าผู้นำไม่มีศักยภาพ วิกฤติจะลุกลามมากขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น เรื่อง COVID-19 เป็นวิกฤติโรคระบาดที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี
วันนี้ผมจึงสรุปแนวทาง 12 ข้อที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในยุควิกฤติโควิด-19 ผู้นำจะต้องทำอะไร
1.ผู้นำต้องมีข้อมูล (Facts) เป็นข้อมูลที่ถูกต้องผู้รู้เป็นคนกำหนด คือ แพทย์ และวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ นักการเมืองคิด แล้วพูดว่าเป็นข่าวปลอม เป็นเรื่องเหลวไหล
2.เมื่อมีข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนต้องมี 3 อย่าง คือยุทธศาสตร์ (Strategy, Action plan (แผนปฏิบัติงาน) และการติดตามประเมินผลโดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาจากผู้รู้
3.การแก้วิกฤติ ผู้นำต้องนิ่ง สุขุม (Calm) มีความกล้าหาญ คิดบวก หรือมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์(Emotional Capital)
4.ผู้นำต้องกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ตัวอย่างคือสี จิ้น ผิง เขาปิดเมืองอู่ฮั่น และไม่ให้คนในอู่ฮั่นออกนอกสถานที่ ดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยระบบเทคโนโลยี ทำให้ผู้คนในอู่ฮั่นอยู่บ้านได้สำเร็จ
5.ผู้รับผิดชอบระดับสูงสุด คือนักการเมือง ต้องไม่เล่นการเมือง เพื่อคะแนนนิยม ต้องคิดถึงผลกระทบต่อประชาชนมากกว่าผลการเลือกตั้งครั้งต่อไป ภาษาอังกฤษเรียกว่า Science before politics (วิทยาศาสตร์ก่อนการเมือง) มีตัวอย่างสับสนที่สุดวันนี้คืออเมริกามีคนตายเกิน 50,000 คน คนป่วยร่วม 1 ล้านคน ยังตกลงกันไม่ได้ว่าความเป็นอยู่มาก่อนหรือชีวิตมาก่อน บางรัฐคนป่วยยังเพิ่มอยู่ แต่เริ่มมีการเปิดให้ทำธุรกิจแล้ว แบบนี้เรียกว่า การเมืองมาก่อนวิทยาศาสตร์
6.ผู้นำต้องใช้แนวของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ร.9 เศรษฐกิจพอเพียง เดินทางสายกลาง มีภูมิคุ้มกัน มีเหตุ มีผล มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรู้
7.ผู้นำต้องไม่ทำงานคนเดียว มีทีมงานที่เข้มแข็ง นอกจากผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แล้วทีมที่กล้าแสดงออกไม่ใช่เชื่อแต่ผู้นำคนเดียว ควรเน้นเรื่องความหลากหลาย (Diversity) แต่ถ้าผิดพลาดมาผู้นำต้องรับผิดชอบอย่าโยนไปที่คนอื่น
8.เนื่องจากวิกฤติเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติต้องตัดสินใจด้วยความเร็ว ไม่ใช่รอข้อมูลให้ครบ 100% คือถ้ามีข้อมูล 70 -80 กล้าตัดสินใจ Speed (ความเร็ว) แก้ปัญหาสำคัญกว่าความแม่นยำ
9.ผู้นำต้องปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์ตลอดเวลา(adapt) ปรับทันทีอย่างกล้าหาญ ตัวอย่างในสงครามกลางเมืองที่นำโดยลินคอล์น ในช่วงที่เขาเพลี่ยงพล้ำ เพราะไว้ใจนายทหารมากเกินไป ลินคอล์นตัดสินใจปลดผู้นำทหารและตั้งคนใหม่ที่มีความสามารถทำการรบได้สำเร็จ ตัวเองต้องปรับ Mindset (วิธีคิด) ของเขา เช่น ถ้าความคิดแบบเดิมใช้ไม่ได้กับแก้วิกฤติก็ต้องปรับแก้ให้ทัน ทำให้เขาชนะสงครามกลางเมือง
10.ผู้นำต้องมีความสามารถสื่อสารสร้างความสำเร็จให้แก่ประชาชน โดยสื่อสารให้เกิด 3 เรื่อง
- Trust ความไว้เนื้อเชื่อใจ
- Credibility ความเชื่อมั่น
- Confidence ความมั่นใจ
11 การแก้วิกฤติ COVID-19 การแพทย์บอกว่าเป็นเสมือนการวิ่งมาราธอนไม่ใช่วิ่งเร็ว คือต้องมีความคงเส้นคงวา (Consistency) และอย่าคาดหวังความสำเร็จทันทีเรียกว่า ชนะเล็กๆ แต่ชนะไปเรื่อยๆ เช่น ประเทศไทยตัวเลขผู้ป่วยดีขึ้น ลดจำนวนผู้ป่วย แต่ไม่รีบเปิดประเทศ รอบคอบ ไม่เหมือนบางประเทศเปิดแล้วโรคกลับมาอีก
12.สุดท้ายไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนสุดท้ายที่รับผิดชอบคือผู้นำสูงสุด ซึ่งเป็นคำที่ประธานาธิบดีทรูแมน (HarryS. Truman) ใช้คือ Buck stops here คือไม่โทษว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันรับผิดชอบแต่ผู้เดียวและไม่ตำหนิ (blame) คนอื่น
หวังว่าข้อคิดบางอย่างจะเป็นประโยชน์ในยุค COVID-19 และร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี