ประเทศไทยเวลานี้เริ่มเข้าสู่โหมด “คลายล็อก” เปิดให้กิจการหลายประเภทกลับมาดำเนินการได้บ้างหลังปิดตายแทบทุกอย่างมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค. 2563 เพื่อตัดกิจกรรมรวมตัวของผู้คนให้เหลือน้อยที่สุดอันเป็นปัจจัยสำคัญในการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในเบื้องต้นแม้จะมีการประกาศต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยาวไปจนถึง 31 พ.ค. 2563 แต่มีรายงานว่า “มีการแบ่งกิจการที่จะทยอยกลับมาเปิดได้เป็น 4 ระยะ โดยทุกระยะจะห่างกันประมาณ 14 วัน” เพื่อประเมินว่าจะเกิดโรคระบาดระลอก 2 หรือไม่
ได้แก่ 1.สีขาว หรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำและจำเป็นในชีวิตประจำวัน 2.สีเขียว กิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ 3.สีเหลือง หรือกิจการที่มีความเสี่ยงปานกลาง และ 4.สีแดง หรือกิจการที่มีความเสี่ยงสูง เป็นสถานที่ที่ใช้เครื่องปรับอากาศและมีผู้คนรวมตัวกันจำนวนมาก ซึ่งจะมีการประเมินผลทุกๆ 14 วัน ดังนั้นคาดว่าหากไม่มีการระบาดใหญ่ระลอก 2 คนไทยน่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติเต็มรูปแบบราวๆ กลางเดือน มิ.ย. 2563
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เผยแพร่แนวทางวิเคราะห์ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อของไวรัสโควิด-19 ในสถานที่
รูปแบบต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊ค “หมอแก้ว ผลิพัฒน์” เมื่อค่ำวันที่ 27 เม.ย. 2563 โดยแบ่งจาก 4 ปัจจัยประกอบด้วย 1.ลักษณะการสัมผัส แบ่งเป็น 1.1 เสี่ยงสูงมีการสัมผัสใกล้ชิดและระยะใกล้กว่า 1 เมตร มีโอกาสในการแพร่ละอองฝอยของน้ำลายสูง เช่น มีการตะโกนเชียร์ และไม่สามารถใส่หน้ากากปิดปาก-จมูกได้
1.2 เสี่ยงปานกลาง สามารถอยู่ห่างกันได้พอสมควร(ระยะประมาณ 1-2 เมตร) อาจมีการพูดจากันในระยะประชิดบ้าง สามารถใส่หน้ากากปิดปาก-จมูกได้เป็นบางเวลา และ 1.3 เสี่ยงต่ำ สัมผัสกันอย่างผิวเผิน เช่น เดินสวนกัน ไม่มีการพูดคุย และใส่หน้ากากปิดปาก-จมูก ได้ตลอดเวลา 2.ระยะเวลาการสัมผัส แบ่งเป็น 2.1 เสี่ยงสูง อยู่นานกว่า 1 ชั่วโมง 2.2 เสี่ยงปานกลาง อยู่นานแต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง และ 2.3 เสี่ยงต่ำ อยู่สั้นมากไม่เกิน 5 นาที
3.การระบายอากาศ แบ่งเป็น 3.1 เสี่ยงสูง เป็นสถานที่ปิดและอากาศไม่ถ่ายเท 3.2 เสี่ยงปานกลาง สถานที่กว้างขวางและมีอากาศถ่ายเทพอสมควร และ 3.3 เสี่ยงต่ำ สถานที่เปิดโล่งและอากาศถ่ายเทได้ดี และ 4.จำนวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหากพบผู้ป่วย แบ่งเป็น 4.1 เสี่ยงสูง มีผู้คนรวมตัวมากกว่า 25 คนขึ้นไป 4.2 เสี่ยงปานกลาง มีผู้คนรวมตัวประมาณ 5-25 คน และ 4.3 เสี่ยงต่ำ มีผู้คนรวมตัวไม่เกิน 5 คน
จากเกณฑ์ข้างต้น เชื่อว่าขณะนี้ผู้ประกอบการในกิจการทุกประเภทคงกำลังพิจารณาว่าจะปรับพื้นที่ของตนอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงการระบาดของไวรัส
โควิด-19 รวมถึง “ธุรกิจกลางคืน” ที่ก่อนหน้านี้ตกเป็น“จำเลยสังคม” จากกรณีผับย่านทองหล่อ กรุงเทพฯ หนึ่งในสถานที่ที่มีการระบาดใหญ่ นำไปสู่มาตรการสั่งปิดสถานบันเทิงทั่วประเทศอย่างยาวนานตามที่ทราบกัน
ถึงกระนั้น “หากสังคมไทยไม่หลอกตัวเองจนเกินไป..ก็ต้องยอมรับว่าคนกลางคืนเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ในภาคบริการและการท่องเที่ยวตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อาทิ วันที่ 23 เม.ย.2563 เว็บไซต์ นสพ. Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่นเสนอข่าว “Pandemic dims lights on Thailand’s$5bn nightlife sector” คาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจกลางคืนของไทยน่าจะอยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาทต่อปี
หรือวันที่ 5 เม.ย. 2563 เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง ร่วมกับสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส เสนอข่าว “Desperate Thai sex workers like “Pim” risk COVID-19 death just to pay rent” อ้างข้อมูลจาก มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์(Empower Foundation) ซึ่งทำงานด้านสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศรวมถึงแรงงานในสถานบันเทิงยามค่ำคืน ว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืนของไทยนั้นสูงถึง 2.1 แสนล้านบาทต่อปี
ย้อนไปเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2562 สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ “Best party cities around the world” ว่าด้วย 10 เมือง ที่โดดเด่นด้านแสงสียามราตรีเหมาะแก่การสังสรรค์อย่างสนุกสนาน ซึ่งมี กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยรวมอยู่ด้วย ส่วนเมืองอื่นๆ ในรายงานนี้ได้แก่ เมืองลาสเวกัส เมืองไมอามีและเมืองนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ เมืองบาร์เซโลนา ของสเปนกรุงเบรุต ของเลบานอน กรุงเบอร์ลิน ของเยอรมนีเมืองเคปทาวน์ ของแอฟริกาใต้ เมืองริโอ เดอ จาเนโรของบราซิล กรุงโซล ของเกาหลีใต้ และเมืองเทล อาวีฟของอิสราเอล
หากถามว่า “ธุรกิจกลางคืนมีคุณค่าต่อเศรษฐกิจไทยขนาดไหน?” ท่านผู้อ่านจำได้หรือไม่ว่าในเดือนส.ค. 2562มีการชงแนวคิด “ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 (เฉพาะในย่านยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เช่น บางย่านของกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต สงขลา)” เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากชาวต่างชาติ โดย พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งแม้จะถูกคัดค้านจากผู้ที่กังวลด้านปัญหาเชิงศีลธรรม แต่การศึกษาเพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ยังคงดำเนินต่อไปในเวลานั้น
ตลอดช่วงเวลานับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค.-ตลอดเดือนเม.ย. 2563 มีสื่อทั้งไทยและเทศ กล่าวถึงรายได้และมูลค่าทางเศรษฐกิจภาคกลางคืนของไทย อาทิ วันที่ 18 มี.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันที่กรุงเทพฯ นำร่องมาตรการปิดสถานบันเทิงเป็นที่แรก สื่อไทยหลายสำนักอ้างผลวิเคราะห์จาก ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า การปิดสถานบันเทิง 14 วัน (ในเวลานั้นกำหนดไว้ระหว่าง 14-31 มี.ค. 2563) ทำให้สูญเสียเม็ดเงินประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2563 “พัทยาไปต่อไม่รอแล้ว” มีรายงานข่าวว่า สนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เชิญผู้ประกอบการสถานบันเทิงในพื้นที่ ร่วมประชุมหารือการดำเนินการจัดสถานที่ให้ลดความเสี่ยงจากโรคระบาด เตรียมความพร้อมไว้หากถึงเวลาที่สถานบันเทิงกลับมาเปิดได้จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการ ซึ่งพัทยานั้นเป็นอีกเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านแสงสียามราตรี
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” จึงขอชวนท่านผู้อ่านช่วยกันคิดอีกแรง ธุรกิจกลางคืนควรปรับปรุงอะไรบ้างเพื่อให้ยังสามารถเป็นอีกภาคส่วนสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติโควิด-19 ซาลง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี