แม้ว่าจะมีการประชุมผู้นำประชาคมอาเซียน และการประชุมในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ กลาโหม และสาธารณสุข ด้วยวิธีการประชุมผ่านเทคโนโลยีสื่อสารร่วมสมัย (Teleconference) และมีแถลงการณ์ออกมาว่าจะร่วมมือกันทำโน่นทำนี่ เช่น การร่วมมือของแพทย์ทหาร การแลกเปลี่ยนข้อมูล วิธีการ และประสบการณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการต่อสู้กับโรคระบาดร้ายไวรัสโควิด-19 ไปจนถึงข้อเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนอาเซียน (เสนอโดยนายกรัฐมนตรีของไทย) ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ก็ตาม ก็มิวายที่จะยังมีคำถามจากชาวอาเซียนว่า ประชาคมอาเซียนกำลังมัวทำอะไรอยู่?
ประเด็นปัญหาคือ การขาดเจ้าภาพอย่างชัดเจนในแต่ละเรื่องหรือกิจกรรม ที่จะร่วมมือกันทำ หรือว่าแต่ละเรื่องที่จะคิดอ่านทำการกันนั้น มีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่น จะเริ่มเมื่อใด และใช้เงินทุนเท่าใด
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องปัญหาในการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง รวมทั้งไม่ได้มีการเปิดช่องทางให้พลเมืองอาเซียนสามารถเข้าถึงเพื่อติดตามหาความรู้ความเข้าใจ และมีส่วนร่วมในการเสนอข้อคิดเห็นท้วงติง หรือแนะนำได้อย่างสะดวก
ประเด็นปัญหาที่สำคัญอีกข้อก็คือ การทำงานของอาเซียนนั้นยังเป็นไปในลักษณะจากข้างบนลงข้างล่าง (Top down) คือ จากความคิดและมติของผู้นำพร้อมด้วยข้าราชการลงสู่ประชาชนพลเมือง โดยขาดการมีส่วนร่วมใดๆ ของพลเมืองอาเซียน
ในเรื่องกิจการงานของประชาคมอาเซียนที่ควรจะเป็นนั้น แม้ผมเองได้รับการสอบถาม หรือไม่ก็ถูกสัมภาษณ์มาเป็นระยะๆ โดยที่ให้สัมภาษณ์ไปก็ค่อนข้างเยอะ แต่ถึงขั้นตอนนำเสนอ ก็มักจะเป็นไปในทางขีดเขียนเป็นประเด็นเฉพาะๆ ไปเท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจว่าพื้นที่นำเสนอนั้นมีจำกัด
ก็ขอถือโอกาสนี้ประมวลสรุปในสาระสำคัญ หรือแบ่งปันความรู้ และนำไปคิดกันต่อ หรือการมีส่วนร่วมด้วยเมื่อโอกาสมาถึง
1. ณ ชายแดน : โดยที่มีการเดินทางเข้า-ออกระหว่างกันโดยเฉพาะแรงงานไทยที่ไปทำงานที่มาเลเซียและสิงคโปร์ และแรงงานเมียนมา กัมพูชา เวียดนาม ลาว และอินโดนีเซีย ที่ไปทำงานที่ไทยมาเลเซีย และสิงคโปร์ จะต้องมีระบบตรวจสุขภาพร่วมกันของประเทศผู้ส่งและผู้รับ ณ ด่านศุลกากรทุกด่าน ซึ่งหมายความว่า คณะแพทย์-พยาบาลของทั้ง 2 ประเทศ มีชายแดนติดกัน และเป็นทางผ่านให้แรงงานประเทศที่ 3 เช่น เวียดนาม ผ่านลาวและกัมพูชา เข้าไทย หรือไปต่อยังมาเลเซียและสิงคโปร์ คณะแพทย์-พยาบาล ร่วม 2 ประเทศก็ต้องทำงานด้วยกัน
นอกจากนั้นไทยร่วมกับเมียนมา มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา ก็ควรมีคณะทำงานทหาร หรือหน่วยป้องกันชายแดน ทำการลาดตระเวนร่วม พร้อมด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ เครื่องบินและเรือลาดตระเวน ที่จะสอดส่องดูแลการเคลื่อนไหวของผู้คนข้ามเขตแดน ซึ่งจะได้ประโยชน์ทางการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองและการทำการอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ
อีกทั้งก็จะเป็นโอกาสให้รวบรวมสถิติผู้คนเข้าออกและแยกแยะสาขาอาชีพ และจุดประสงค์ของการข้ามเขตแดนด้วย ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งทางด้านดูแลแรงงานต่างชาติและความมั่นคง
2. การร่วมมือทางการแพทย์และสาธารณสุข : ประเทศรุ่นเก่าของอาเซียน คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน ซึ่งมีความเจริญก้าวหน้า และฐานะมั่งมีกว่า
ก็ต้องร่วมกันให้ความช่วยเหลือประเทศอาเซียนรุ่นใหม่ (ลาว เมียนมากัมพูชา และเวียดนาม) ที่ยังล้าหลังและขาดความพร้อมต่างๆ ในการแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 เฉพาะหน้า ทั้งการบริการทางการแพทย์ การสาธารณสุข การบริจาคเครื่องมือเครื่องใช้และเวชภัณฑ์ต่างๆ (ซึ่ง 6 ประเทศ ช่วย 4 ประเทศนี้ ก็อยู่ในกรอบการลดช่องว่างการพัฒนาภายใต้คำว่า การริเริ่มอาเซียน - Asean Initiation อยู่แล้ว)
3. การแก้ปัญหา ขจัดปัญหาที่ต้นเหตุของโรคระบาดไวรัส (RootCause) ก็ได้แก่ การออกกฎเกณฑ์ระดับอาเซียน และระดับชาติให้ปิดตลาดค้าสัตว์ป่า เลิกการบริโภคสัตว์ป่า เลิกการใช้สัตว์ป่าเป็นยาชูกำลังและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ไปจนถึงการห้ามเลี้ยงสัตว์ป่าเป็นสัตว์เลี้ยง และการยุติการอนุญาตการเพาะพันธุ์สัตว์ป่า
คู่ขนานไปก็คือ การรักษาป่าที่เหลืออยู่และการฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรม ไปจนถึงการเอาป่าคืน โดยเฉพาะจากไร่อ้อย ข้าวโพด ปาล์ม และยางพารา เป็นต้น
นอกจากนั้นก็ต้องมีกฎเกณฑ์มาตรการแน่ชัดเกี่ยวกับการนำสัตว์ป่า เช่น ค้างคาว มาเป็นวัตถุดิบในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ และจะต้องมิให้มีการนำสัตว์ป่าที่มิได้ใช้ในห้องทดลองปฏิบัติการมาสู่สังคมใดๆ ทั้งสิ้น หรือนัยหนึ่งไม่ให้ปล่อยออกสู่ตลาดเพื่อการบริโภค หรือเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยง
4. กองทุนอาเซียนเพื่อต่อสู้โควิด-19
เมื่อเป็นข้อเสนอของฝ่ายไทยแล้ว ฝ่ายไทยก็ต้องลงมือก่อนให้เป็นตัวอย่าง เป็นตัวนำ คือ การระบุจำนวนเงินบริจาค เงินกองทุนนี้สามารถนำมาได้จากหลายทางในแต่ละประเทศสมาชิก เช่น จากงบฉุกเฉิน จากรายได้เฉพาะ เช่น สลากกินแบ่ง หรือจากกองทุนสังคมต่างๆ อีกช่องทางหนึ่งคือ นำงบที่มิได้ใช้ในการจัดประชุมอาเซียน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง เหล่านี้ที่ไม่ได้ใช้ หรือจะใช้น้อยลงแล้วนำมาใส่ในกองทุนอาเซียน อีกทั้งภาครัฐก็ขอบริจาคจากประชาชนโดยทั่วไป และบริษัท ห้างร้าน ที่มีกำลังที่จะแบ่งปันให้ได้ เป็นต้น
5. การแข่งการผลิต
ประเทศอาเซียนมีโรงงานผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้ามากมายมีโรงงานพลาสติก มีโรงงานชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องมือเครื่องใช้การแพทย์ และมีโรงงานเวชภัณฑ์ ก็สามารถที่จะร่วมมือปรับเปลี่ยนโรงงานเหล่านี้ให้หันมาทางเดียวกัน ด้วยการผลิตเพื่อการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งก็มีโรงงานเอกชนเริ่มปรับตัวแล้ว แต่ภาครัฐควรเข้าไปร่วมมือสนับสนุนให้มากขึ้น
6. ศูนย์ประสานงานโควิด-19
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็ก่อให้เกิดความจำเป็นที่ประชาคมอาเซียนจะต้องมีศูนย์ประสานงบกลางเพื่อประสานกันเองระหว่างประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ และเพื่อประสานงานกับองค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO) และกับบางประเทศคู่เจรจา (Dialogue Partner) เช่น ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา และประชาคมยุโรป เป็นต้น
7. ในระยะปานกลางประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนควรจะริเริ่มการร่วมมือกันทางด้านการค้นคว้าวิจัย และพัฒนาในเรื่องไวรัส เรื่องการผลิตและใช้ยา และวัคซีน ไปจนถึงการฝึกอบรมเพิ่มองค์ความรู้และทักษะของบุคลากรต่างๆ ทั้งนี้ ก็ต้องคำนึงว่าแต่ละประเทศนั้นพละกำลังก็มีจำกัด ก็จำเป็นต้องร่วมมือกัน ในเมื่ออยู่ในครอบครัวอาเซียนด้วยกันแล้ว
ทั้งหมดนี้ไทยเราสามารถเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเพื่อประสานงานและเป็นผู้นำการได้ เพราะวงการแพทย์และสาธารณสุขของไทยมีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์
ที่รอกันอยู่คือ ความเข้าอกเข้าใจของผู้นำทางการเมืองต่อประเด็นปัญหา ต่อวิสัยทัศน์ และต่อความเป็นผู้นำ สปิริตของการเป็นอาเซียน
แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ความมุ่งมั่น และความเด็ดขาดทางการเมือง (Political Will) ของผู้นำประเทศอาเซียนทั้งหลายนั่นเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี