“ตู้ปันสุข” เครื่องยืนยันถึงน้ำใจของคนไทยที่มักหยิบยื่นความปรารถนาอันดีให้กันในสภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้เสมอมา ซึ่งน้ำใจกลับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหายากในสังคมตะวันตก ด้วยความเป็นปัจเจกของคนในสังคมที่พึ่งพาตนเองมากกว่าการเอื้อเฟื้อกันทำให้เราแทบไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า น้ำใจในที่อื่นนอกจากประเทศไทย หรือกระทั่งในคำศัพท์ภาษาอื่นที่แปลว่าน้ำใจยังหายากเช่นกัน เมื่อวิถีชีวิตของประชาชนต้องเปลี่ยนไป ชีวิตวิถีใหม่ที่เรากำลังต้องเผชิญหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งมาตรการทางสาธารณสุขที่ต้องปฏิบัติ รวมไปถึงการต้องพัฒนาขีดความสามารถเตรียมความพร้อมสู่การเปิดการค้าโลกใหม่อีกครั้ง และในฐานะครัวโลกที่สามารถผลิตอาหารส่งออกได้ย่อมสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศไทยในเวทีโลกอย่างแน่นอน แต่นั่นต้องมาพร้อมกับความพร้อมของระบบที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยยุคใหม่ ซึ่งก็คือการเตรียมความพร้อมและวางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลหลังจากนี้ ที่อาจต้องเปลี่ยนไปจากที่เคยวางแผนไว้
ยุทธศาสตร์ใหม่ของประเทศจะเป็นอย่างไร คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ ส่วนในทางการเมืองที่แม้จะมีการส่งสัญญาณแล้วว่าน่าจะไม่มีการปรับ ครม.ในส่วนของพรรคร่วม แต่
คาดการณ์ว่าอาจจะมีการปรับในส่วนของพรรคพลังประชารัฐเอง โดยมีแรงเขย่าภายในพรรคพลังประชารัฐกันเองในช่วงหลายวันที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่า ศึกระหว่างขั้วพี่ใหญ่อย่างพล.อ.ประวิตร และขั้วของรองนายกฯสมคิด ที่กำลังเขย่าที่นั่งภายในพรรค? และมีข่าวการพูดเลยไปจนถึงการเขย่าเก้าอี้สายดร.สมคิด? ให้มีการเปลี่ยนตัวในการปรับครม.ครั้งต่อไปหรือไม่? และถ้าเป็นแบบนั้นการเปลี่ยนเก้าอี้รัฐมนตรี โดยเฉพาะสายเศรษฐกิจอาจจะมีผลมากขึ้นต่อการวางแผนอนาคตประเทศ และการบริหารเศรษฐกิจในระยะยาวด้วยหรือไม่ เพราะถ้ามีการปรับ ครม. ตอนนี้ที่เหมือนเปลี่ยนม้ากลางศึกหนัก เพราะช่วงเวลานี้เศรษฐกิจฝืดเคืองยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด เพราะเศรษฐกิจที่ถดถอยพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ตลาดหุ้นที่สวนทางกับสภาพความเป็นจริง กำลังชี้ให้เห็นว่ามาตรการทางการคลังที่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบทำให้เกิดสภาพคล่องที่ไม่ใช่เม็ดเงินในกระเป๋าคนจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นในทุกประเทศ แถมด้วยมาตรการทางการเงินที่ต่างลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งต้องมาวัดกันต่อไปว่าเม็ดเงินอัดฉีดแบบนี้ในระบบจะประคองให้สถานการณ์ฝืดเคืองนี้ผ่านไปได้ หรือเม็ดเงินก้อนแรกนี้จะหมดก่อนที่วิกฤตินี้จะจบ เพราะถ้าเงินที่อัดฉีดเพื่อสร้างสภาพคล่องยกนี้หมดก่อนที่วิกฤติจะผ่านไป วิกฤติเศรษฐกิจของจริงจะเริ่มต้นขึ้น และประเทศไทยอาจต้องพึ่งความสามารถของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งคณะรัฐมนตรีและองคาพยพราชการ ที่ต้องพร้อมตอบสนองงานและความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วในยุคที่โลกหมุนเร็วตามเทคโนโลยี ขณะที่รัฐบาลในปัจจุบันใช้ระบบราชการและวิสาหกิจเป็นแขนขาหลักจนแทบจะเป็นรูปแบบรัฐราชการรวมศูนย์แล้ว? เมื่อเป็นเช่นนั้นคำถามคือ ระบบราชการที่มีอยู่จะยังคงตอบสนองความต้องการของประชาชนในโลกยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปมากหรือไม่?
รัฐวิสาหกิจเองก็ต้องปรับตัว แต่ปัจจุบันก็พบว่ารัฐวิสาหกิจบางแห่งยังมีปัญหาเช่นกัน ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้คือการบินไทย ที่กำลังเป็นปัญหาในเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณทำให้ขณะนี้ขาดสภาพคล่อง และจำเป็นต้องรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในการพยุงธุรกิจ ซึ่งมีความคิดเห็นของสังคมออกเป็น 2 ทาง คือ การจัดงบประมาณในการอุดหนุนพร้อมมาตรการการจัดระเบียบการบินไทยใหม่โดยแตกบริษัทออกเป็นบริษัทย่อยๆ โดยมีการบินไทยเป็นผู้ถือหุ้น หรืออีกทางคือการปล่อยให้เอกชนเข้ามาทำหน้าที่ในเรื่องของธุรกิจการบินโดยสมบูรณ์
โดยมีการคาดการณ์ว่าน่าจะต้องใช้งบประมาณอีกกว่า 1.3 แสนล้านบาท หากตัดสินใจอุ้มการบินไทย เพราะจะแบ่งเป็นเม็ดเงินในส่วนของการชดเชยสภาพคล่อง 5 หมื่นล้าน และงบเพิ่มทุนอีก 8 หมื่นล้าน จากการคาดการณ์? ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากของรัฐบาลในตอนนี้ เพราะสถานการณ์ของประเทศกำลังยากลำบาก
ล่าสุด ทางครม.ได้มีการอนุมัติให้โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี’63 กว่า 8.8 หมื่นล้านบาท โอนย้ายมาเป็นงบประมาณกลางในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเรื่องงบประมาณนี้ฝ่ายค้านกำลังนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็น โดยเฉพาะการจัดงบประมาณเพื่ออุดหนุนการบินไทย มีการเปิดประเด็นจากทางพรรคฝ่ายค้านบางพรรคว่า แม้สายการบินทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 แต่ไม่มีผู้นำประเทศและรัฐบาลไหนในโลกที่ตัดสินใจใช้เงินภาษีของประชาชนให้ความช่วยเหลือสายการบินก่อนที่จะตกลงเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือได้ชัดเจน?
และยังมีการพูดทำนองว่าการออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นเป็นเพียงการยืดเวลาไม่ให้ประชาชนผู้เดือดร้อนลงถนนต่อต้านรัฐบาล ซึ่งดูจะสอดรับกับทางกลุ่มก้าวหน้าที่ออกมาผลักดันแคมเปญ “ค้นหาความจริง”? โดยที่สิ่งที่เห็นในกระแสกลับเป็นการยกประเด็นการสลายการชุมนุมปี 2553 และทวงถามถึงผู้รับผิดชอบกับการตายของประชาชนในการสลายการชุมนุม ซึ่งก็มีคนออกมาตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงออกมาปลุกประเด็นเหล่านี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญศึกอย่างโควิด-19 และภาวะเช่นนี้ยังจะเติมประเด็นความเกลียดชังที่สุดท้ายอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งของประชาชนสองฝ่ายที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกันออกมาทะเลาะกันในตอนนี้ อีกทั้งน่าคิดว่าเรื่องนี้ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคือขั้วการเมืองเดิมอย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ กลับเดินหน้าทำหน้าที่ต่อในสภามากกว่าการขุดเรื่องในอดีตจึงน่าคิดว่าผู้ปลุกประเด็นนี้ต้องการอะไร?
แม้จะบอกว่าประเทศไทยมีโอกาสฟื้นตัวจากวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยทรัพยากรอย่างสินค้าเกษตรและระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพของเราอาจจะเป็นทางออกของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตามมา แต่ต้องมั่นใจว่ารัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้องจะทำได้ดีพอในเวลาวิกฤตินี้ แม้ว่าประเทศไทยอาจจะใกล้ผ่านพ้นภัยคุกคามอย่างโควิด-19 แล้วจากตัวเลขที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนเป็นศูนย์ครั้งแรกเมื่อวานนี้ และกำลังมีการผ่อนปรนมาตรการตามลำดับ แต่ในขาเศรษฐกิจถือว่าเป็นศึกใหญ่ที่กำลังเข้ามาถึงตลอดจนการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ในวิกฤติมีโอกาส โดยรัฐบาลควรใช้วิกฤติครั้งนี้ในการจัดทำระบบฐานข้อมูลใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และตลอดจนปรับยุทธศาสตร์หลักของประเทศเพื่อรองรับชีวิตวิถีใหม่.....
ตอนนั้นเป็นเวลาที่ความรู้สึกเปราะบางที่สุด
คนเราเมื่ออยู่ในความว้าเหว่ เปราะบาง มักจะกล่าววาจา
ที่กระทั่งตัวเองก็นึกไม่ถึงจะเปล่งออกมาจากปากได้...
โกวเล้ง รำพึงในคืนค่ำ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี