ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เวลานี้ถือว่าครบ 100 ปีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่เมื่อปี 2461 เวลานั้นประเทศไทยมีประชากรไม่ถึง 10 ล้านคนมีผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดดังกล่าว 8 หมื่นคนไข้หวัดใหญ่ (Influenza) มี 3 สายพันธุ์คือ A B และ C แต่สายพันธุ์ C จะพบเพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้นในทางการแพทย์จึงให้ความสำคัญกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ B เป็นหลัก
“ไข้หวัดใหญ่ A สามารถระบาด (Pandemic) ได้กระจายไปทั่วโลกได้ ความรุนแรงก็มากกว่า ส่วนไข้หวัดใหญ่ B พบในมนุษย์เท่านั้น ไม่อยู่ในสัตว์ปีก ไม่อยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal) ไม่อยู่ในหมูหรืออะไรทั้งสิ้น ดังนั้น ความสำคัญของไข้หวัดใหญ่ B จึงน้อยกว่า A มาก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสายพันธุ์ เปลี่ยนพฤติกรรมอะไรต่างๆ การติดต่อทุกคนรู้ เกิดจากการไอ-จาม จึงไม่แปลกที่ขณะนี้โควิดมา จึงช่วยไข้หวัดใหญ่มากมาย” นพ.ยง อธิบาย
นพ.ยง เล่าต่อไปว่า “ประเทศไทยนั้นอยู่ในเขตร้อนชื้นใกล้เส้นศูนย์สูตร ไม่มีฤดูหนาวมีแต่ร้อนมากกับร้อนน้อย ไข้หวัดใหญ่ในไทยจึงพบได้ตลอดทั้งปี โดยมีความชุกสูงสุด (High Peak) ในฤดูฝน หรือเดือนมิ.ย.-ก.ย.” แต่ก็มีช่วงระบาดเล็กๆ ในช่วงฤดูหนาวหรือเดือนพ.ย.-ม.ค. อนึ่ง ในช่วงต้นปี 2563 ที่เริ่มมีการรณรงค์ลดความเสี่ยงจากไวรัสโควิด-19 พบว่า จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ลดลงด้วยอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีช่วงเดียวกันของปี 2562
ทั้งนี้ “วัคซีนไข้หวัดใหญ่ต้องฉีดทุกปีเพราะสายพันธุ์เปลี่ยนตลอด” โดยมีคำแนะนำ 1.ผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรงไม่แนะนำให้ฉีด เพราะวัคซีนที่มีในประเทศไทยมีไข่เป็นส่วนประกอบ ส่วนผู้ที่แพ้ไข่แต่อาการไม่รุนแรงหากจะฉีดต้องพักดูอาการหลังฉีดในโรงพยาบาล 2.อาการแทรกซ้อนอย่างรุนแรงพบได้น้อยมากเพียง 1 ในแสนคนโดยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
3.ผู้สูงอายุจำเป็นต้องได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพราะหากป่วยขึ้นมาโอกาสที่เชื้อจะลงไปที่ปอด เกิดภาวะปอดบวมและเสียชีวิตมีมาก และ 4.วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีผลพลอยได้คือช่วยลดปัญหาในการตรวจหาการติดเชื้อโควิด-19 เช่น ในช่วงฤดูฝน หากมีไข้ เมื่อไปพบแพทย์อย่างน้อยก็ลดตัวแปรคือไข้หวัดใหญ่ไปได้แล้วหนึ่งโรค แพทย์อาจสันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่าติดเชื้อโควิด-19เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเข้ากลุ่มเสี่ยงต้องสอบสวนโรค
“ปีนี้ไข้หวัดใหญ่จะระบาดไหม? อันนี้เป็นคำถามที่น่าคิด เพราะว่าถ้าเรามีการป้องกันที่ดี ผมคิดว่าปีนี้อุบัติการณ์จะน้อยกว่าปีที่แล้ว เพราะเรามีการป้องกันโรคโควิด อย่างไรก็ตาม ยังแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ถ้าเป็นแล้วอาการรุนแรงได้ แล้วจะฉีดเมื่อไหร่ดี? เดือนที่ฉีดไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือก่อนฤดูฝน เพราะเรารู้ว่า Peak (ความชุก) ของไข้หวัดใหญ่จะเกิดขึ้นในฤดูฝน ฉะนั้นเดือนที่ฉีดดีที่สุดคือก่อนเข้าฤดูฝน ก็คือก่อนเดือนมิ.ย. ก็คือตอนนี้ ให้รีบไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กันเลย” นพ.ยง กล่าว
นพ.ยง ยังตอบคำถามหลายเรื่องที่พูดถึงกันในโลกออนไลน์ อาทิ 1.วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันโควิด-19 ได้ไหม? คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะไวรัส Influenza ที่ก่อโรคไข้หวัดใหญ่เป็นคนละกลุ่มกับไวรัสโควิด-19 วัคซีนที่ใช้จึงเป็นคนละชนิดกัน และเป็นไปไม่ได้ที่ภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่จะไปป้องกันไวรัสโควิด-19 ด้วย 2.ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วจะเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 หรือโรคทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ หรือไม่? คำตอบคือ “ไม่เกี่ยว” เพราะเมื่อลดอุบัติการณ์โรคใดโรคหนึ่งลง ก็จะดูเหมือนว่าโรคอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้น แล้วก็นำไปเชื่อมโยงทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ขณะที่ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่กับโควิด-19 มีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน เช่น 1.อาการ ทั้งระยะเริ่มต้น เช่น ไอ มีไข้ เจ็บคอ และอาการรุนแรงคือมีภาวะปอดอักเสบ 2.กลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงของทั้ง 2 โรคป่วยแล้วอาการหนักเหมือนกัน 3.การป้องกัน คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 เช่น อยู่บ้านให้มากออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น สวมหน้ากากปิด-ปากจมูก ล้างมือบ่อยๆ ก็เป็นวิธีการเดียวกับการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
ซึ่งในช่วงฤดูฝนยังมีปัจจัยสำคัญคือเป็นช่วงเปิดภาคเรียน “หากมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดความสับสนในการวินิจฉัยโรคได้” การลดอุบัติการณ์ของโรคใดโรคหนึ่งลงได้ ย่อมเป็นผลดีต่อระบบสาธารณสุขในภาพรวม ทั้งนี้ ในช่วงที่กิจการต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดทำการตามการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) การระบาดระลอก 2 ของไวรัสโควิด-19จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของทุกคนด้วย หากมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมการระบาดจะต่ำ และยังทำให้ไข้หวัดใหญ่ระบาดน้อยลงด้วย
ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. เปิดเผยว่า ในปี 2563 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ ภายใต้คำแนะนำของกรมควบคุมโรค ได้สั่งซื้อวัคซีน 4 ล้านโดส ใช้งบประมาณ 450 ล้านบาท เน้น “7 กลุ่มเสี่ยง” ที่หากป่วยแล้วมักมีอาการหนักหรือถึงขั้นเสียชีวิต ได้แก่ 1.หญิงมีครรภ์อายุครรภ์4 เดือนขึ้นไป กลุ่มนี้ให้บริการอยู่แล้วทั้งปี 2.เด็กอายุ6 เดือน-2 ปี ต่อไปอาจขยายให้ได้รับ 2 ครั้ง ซึ่งต้องหารือกับทางกรมควบคุมโรคต่อไป
3.ผู้ภูมิต้านทางต่ำ เช่น ผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไปคนกลุ่มนี้หากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่แล้วอาการอาจรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบต้องนอนโรงพยาบาล 4.กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยโรคปอด โรคหลอดเลือดสมองเบาหวาน มะเร็ง 5.ผู้พิการทางสมอง 6.ผู้ป่วยธาลัสซีเมียและผู้ติดเชื้อ HIV (เอดส์) และ 7.ผู้มีภาวะอ้วนมาก หมายถึงผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัมขึ้นไป
สำหรับจังหวัดอื่นๆ จะมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งมีรายชื่อกลุ่มเสี่ยงที่ต้องฉีดวัคซีนได้ ส่วน กรุงเทพมหานคร (กทม.) เนื่องจากเป็นเมืองที่มีการเคลื่อนไหวของประชากรสูงมาก จึงมีระบบช่วยดำเนินการให้วัคซีน 2 ระบบคือ 1.ประสานที่สายด่วน 1330 และ 2.ลงทะเบียนจองคิวนัดหมายผ่านแอพพลิเคชั่น หรือ แอดไลน์ “@UCBKK สปสช.สร้างสุข” โดยกลุ่มเสี่ยงข้างต้นสามารถรับวัคซีนได้ทุกสิทธิไม่ว่าเป็นบัตรทองของ สปสช. ประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี