สภาเตรียมเปิดประชุม วาระพิเศษเรื่องการพิจารณา พ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน ในอีกไม่กี่วันนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีการคลายล็อกมาตรการเคอร์ฟิวเพิ่มเติมหรือไม่? เพราะจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ดีขึ้นตามลำดับ ปัจจุบันการคลายล็อกรอบที่ 2 ที่มีการอนุญาตให้ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานที่ออกกำลังกาย ได้กลับมาเปิดกิจการอีกครั้งซึ่งต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพราะอาจเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคอีกครั้งหรือไม่?
ในขณะเดียวกันภาครัฐต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ยาวนานและมีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นฟูได้อีกครั้งเร็วสุดในช่วงปลายปี อันเนื่องมาจากการปิดประเทศของไทยและของต่างประเทศเอง ซึ่งแม้อาจจะมีการผ่อนปรนมาตรการบางส่วนในหลายประเทศ แต่ประเทศไทยก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ดี เพราะรายได้หลักของประชาชนในประเทศส่วนหนึ่งมาจากภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการ ที่มีการคาดการณ์ว่าอาจไม่ฟื้นตัวกลับมาได้ในเร็ววัน
และแม้ประเทศไทยจะมีแนวโน้มที่ดีในการควบคุมโรค และความพร้อมในการควบคุมด้านสาธารณสุขซึ่งเป็นจุดแข็งที่นานาชาติให้การยอมรับ แต่หากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศยังไม่มีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจ และไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยได้ ก็คงยังไม่อาจฟื้นฟูภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยวได้เร็วนักอย่างน้อยก็ 6 เดือน หลังจากนี้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจชุมชน
นอกจากนั้นแล้วคือ รายได้จากการส่งออก โดยถึงแม้จะมีการผลิตสินค้า แต่หากต่างชาติใช้มาตรการรัดเข็มขัดจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก สินค้าหลายประเภทที่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยก็อาจได้รับผลกระทบโดยตรง จะมีก็แต่สินค้าเกษตรเท่านั้นที่สามารถส่งออกได้อย่างแน่นอนเพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นในการบริโภค แต่ก็ต้องคำนึงถึงการรักษามาตรฐานก่อนส่งออกเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ส่งออกจากไทยเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมในตลาด
ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องคำนึงถึงมาตรการอย่างรอบคอบ และเดินหน้าอย่างจริงจังก่อนที่จะเกิดจำนวนคนว่างงานที่เพิ่มมากขึ้นในระยะสามเดือนหลังจากนี้ประกอบกับสภาวะเงินฝืดในชุมชนที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยแม้จะมีการคลายล็อกให้ธุรกิจขนาดเล็กได้เริ่มเปิดดำเนินการได้ มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นระลอก ตั้งแต่เงินเยียวยา 5,000 บาท เงินช่วยเหลือเกษตรกร 15,000 บาท ตลอดจนมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบางทางสังคมที่กำลังจะออกตามมา
โดยมีกระแสข่าวว่าอาจกลับไปใช้ระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีระบบอยู่แล้ว แต่ก็พบว่าเศรษฐกิจชุมชนยังคงซบเซา โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อใด จึงทำให้ประชาชนเลือกที่จะประหยัดการจับจ่ายไว้เพียงแค่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น จึงทำให้เม็ดเงินที่จะอัดฉีดเข้าระบบกลับไม่ได้มีการหมุนเวียนในระบบ สิ่งที่ควรทำในช่วงเวลาที่การท่องเที่ยวและการหมุนเวียนเงินจากต่างชาติทำได้ยาก คือการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งหลายคนอาจนึกถึงโครงการไทยเที่ยวไทย ที่มุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศผ่านการจับจ่ายในประเทศกันเอง ก็อาจพอทำให้การหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ แต่อาจต้องหาวิธีในการควบคุมทางสาธารณสุข ทั้งนี้อาจเน้นไปที่เงินสดที่เข้าระบบเพราะหากกลับไปใช้มาตรการ “ชิมช้อปใช้” แบบในช่วงที่ผ่านมา ที่ถูกวิจารณ์ว่าเงินอาจหมุนแค่ในระบบรัฐ และอาจทำให้เม็ดเงินไม่หมุนเข้าถึงชุมชนจริงๆ แต่หากจะทำจริงก็คงต้องมาปรับปรุงแนวคิดหรือระบบให้เม็ดเงินหมุนเข้าชุมชนจริงๆ ให้ได้มากที่สุด
อีกด้านหนึ่ง หลังจากนี้อีก 3 เดือน ในการเปิดสมัยประชุมสภา หลายคนก็พอจะเห็นแววยุทธวิธีการดำเนินการของสส.ในสภา รวมถึงฝ่ายค้านและกลุ่มมวลชนที่สนับสนุน ที่มีทีท่าว่าจะมีการออกมาชุมนุมประท้วงหรือไม่? ซึ่งเป็นเรื่องยากลำบากของระบบสาธารณสุขไทยที่จะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หากมีการปลุกระดมมวลชนในช่วง
วัดใจอีกสามเดือนนี้ และอาจจะเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจฝืดเคืองยิ่งขึ้นหรือไม่?
ก็อาจจะถูกที่เรื่องปากท้องอาจเป็นจุดแตกหักของประชาชนที่จะลุกขึ้นทวงถามรัฐบาล แต่การลงถนนอีกครั้งอาจทำให้บรรยากาศในการกอบกู้เศรษฐกิจ และการต่อสู้กับโรคระบาดซ้ำร้ายไปอีกหรือไม่? และถ้ามีวันนั้นเกิดขึ้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุข อาจไม่ใช่เพียงรัฐบาลเท่านั้นที่เป็นผู้รับผิดชอบ แต่ประชาชนอีกบางส่วนอาจมุ่งเป้าไปถึงแกนนำผู้ชุมนุมที่มีส่วนในความเสี่ยงในการกระจายเชื้อและอาจทำลายการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตลอดจนทำให้การดำเนินการนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ในการกระตุ้นการบริโภคจะต้องสะดุดลงด้วยหรือไม่?
เพราะขณะที่กลไกสำคัญในการที่จะผลักดันเครื่องยนต์จีดีพีอย่างการลงทุนภาครัฐที่จำเป็นต้องมีการขยับเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งประเทศไทยเองก็มีความน่าเชื่อถือทางการเงินที่ดีทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เงินคงคลัง ฯลฯ ที่สามารถนำออกมาใช้ลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ หรือการใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินเพื่อนำมาบริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤติ อาจถูกสกัดจากฝ่ายการเมืองทั้งในสภาและนอกสภาให้เบรกจิกซอว์สำคัญ นั่นคือการลงทุนภาครัฐ
การออกมาส่งสัญญาณของฝ่ายการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาลที่เริ่มออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลว่า ทำให้เศรษฐกิจถดถอยไปจนติดลบ มีบริษัทจำนวนมากที่จะต้องปิดตัวเพราะไม่สามารถสู้กับพิษเศรษฐกิจได้ และคาดว่าจะมีคนตกงาน 7-10 ล้านคน โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่รัฐบาลทุกประเทศถูกเล่นงานโดยโรคระบาดทั้งสิ้น ไม่เว้นแต่ประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาที่เศรษฐกิจในปัจจุบันก็อยู่ระดับทียากจะควบคุมเช่นเดียวกัน การออกมาโจมตีเช่นนี้เป็นการกระทำเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล เพื่อต่อยอดปลุกประเด็นทางการเมือง หรือไม่
โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองบางกลุ่มมีการนำประเด็นทางการเมืองในอดีตกลับมาปลุกให้ประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาลในตอนนี้? หลายคนตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่นำประเด็นเหล่านี้มาจุดกระแสตอนที่ตนเองเป็น สส.ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้
สถานการณ์วิกฤติจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กำลังจะผ่านไป แต่วิกฤติเศรษฐกิจกำลังจะเข้ามาเป็นปัญหาหลักที่ต้องดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ต่อไป แม้จะยอมรับว่าที่ผ่านมาเราพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นหลัก แต่ตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นไปด้วยความยากลำบากจึงอาจต้องหันมามองการฟื้นเศรษฐกิจจากภายใน ซึ่งประเทศไทยเองเป็นประเทศที่มีพื้นฐานทรัพยากรที่ดี มีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย ช่วงนี้อาจต้องพึ่งพาตนเองไปก่อนเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ และเงินหมุนเวียนในกระเป๋าของประชาชน ในช่วงเวลาเช่นนี้เงินทุนสำรองต่างๆ รวมถึง
กองทุนในระบบต้องคำนึงถึงการช่วยเหลือประชาชนก่อน ประชาชนต้องได้รับบริการที่ดีที่สุดจากรัฐ ไม่ว่า
การเมืองจะเป็นอย่างไร วิกฤติครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้พิสูจน์ตัวเองกับประชาชน และเรียกความเชื่อมั่นศรัทธากลับมาอีกครั้ง.....
“จะมีชีวิตอยู่โดยทรงคุณค่าเป็นที่ลำบากก็จริง จะตายให้มีคุณค่ายิ่งยากเข็ญกว่ามากนัก”
โกวเล้ง จากเรื่องเดชขนนกยูง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี