เป็นประเด็นที่ต้องเขียนถึงกันทุกปีสำหรับการรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก ซึ่งตรงกับวันที่ 31 พ.ค. โดยปีนี้องค์การอนามัยโลกได้กำหนดหัวข้อการรณรงค์ว่า ปกป้องเยาวชนจากอุตสาหกรรมยาสูบและป้องกันเด็กจากการสูบบุหรี่และการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท ซึ่งการรณรงค์จะเน้นที่การให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบให้กับเยาวชนรวมถึงป้องกันบริษัทบุหรี่ทำการตลาดกับเด็กๆ
ในขณะที่ประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขเลือกที่จะกำหนดหัวข้อการรณรงค์เอง โดยหยิบยกเรื่องของโรคโควิด-19 กับการสูบบุหรี่มาเป็นประเด็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่ตื่นกลัวจะได้ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ ทั้งที่ความจริงแล้ว ถึงจะไม่ผูกโยงเข้ากับเรื่องไวรัสโคโรนา แต่รณรงค์กันมาเท่าไหร่ จำนวนผู้สูบบุหรี่ยังไม่ได้ลด จึงน่าตั้งคำถามต่อไปว่าการป้อนข้อมูลว่าการสูบบุหรี่แพร่กระจายเชื้อโรคและเสี่ยงติดโควิด-19 มากขึ้น ทั้งๆ ที่ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในต่างประเทศยืนยันว่าไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าการสูบบุหรี่เพิ่มโอกาสการติดโรค จะทำให้ผู้สูบบุหรี่เริ่มกลัวจนตัดสินใจที่จะเลิกบุหรี่ได้หรือไม่
อีกทั้ง มาตรการควบคุมบุหรี่ของประเทศไทยที่เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น ทั้งการห้ามแบ่งขาย การกำหนดให้ซองบุหรี่หรือซองยาเส้นมีรูปแบบมาตรฐาน การกำหนดอายุผู้ขาย แต่การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ก็ยังดูจะเป็นปัญหา จากข้อมูลการสำรวจของศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ระบุว่าร้านค้ากว่า 85% ไม่เคยเช็คอายุผู้มาซื้อบุหรี่เลย และกว่า 30% ยอมรับว่ามีการขายบุหรี่ทั้งแบบซองและแบบแบ่งขายเป็นมวนให้กับเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี แสดงให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ยังไม่นับรวมถึงการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง เรากลับเห็นคนใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันมากมาย รวมถึงเด็กและเยาวชนด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้หาซื้อสินค้ากันได้ตามตลาดใต้ดินหรือร้านค้าออนไลน์ เป็นปัญหาให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตามจับปราบปรามกันไม่หวาดไม่ไหว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่าจะจัดการกับสินค้าที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายได้อย่างไร
หากจะถอดบทเรียนความสำเร็จในการบริหารจัดการโรคโควิด-19 ของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถป้องกันโรคระบาดได้ เป็นแบบอย่างที่ดีในภูมิภาค และได้รับเสียงชื่นชมจากหลายประเทศทั่วโลก จะเห็นว่าความสำเร็จนี้เริ่มต้นมาจากการเปิดใจยอมรับว่าไวรัสโควิด-19 เป็นความท้าทายใหม่ มีข้อมูลมากมายที่ยังไม่มีใครรู้ชัด แต่การเปิดรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย ใช้ความรู้ทางการแพทย์ประกอบกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากำหนดนโยบาย เสริมด้วยการได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ทำให้เราสามารถรับมือกับไวรัสโควิด-19 ได้อย่างดี ที่สำคัญรัฐบาลมีการติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะปรับหรือผ่อนปรนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ตรงกันข้ามกับการรณรงค์เรื่องการสูบบุหรี่ที่ยังคงผูกขาดการกำหนดนโยบายโดยบางองค์กรและหน่วยงานเดิมๆ โดยไม่เปิดกว้างรับฟังข้อเท็จจริง ถ้าเรายังคงยึดแนวทางเดิมๆ รณรงค์กันแบบเดิมๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ประเทศไทยก็อาจไม่บรรลุเป้าหมายการควบคุมยาสูบที่ต้องการลดผู้สูบบุหรี่ให้เหลือ 14.7% ภายในปี พ.ศ. 2568
ถ้าเราเรียนรู้จากเรื่องโควิด และถือโอกาสวันรณรงค์งดสูบบุหรี่โลกของปีนี้ จัดการกับแนวทางรณรงค์เลิกบุหรี่ของบ้านเราเสียใหม่ เริ่มจากการตั้งโจทย์ใหม่ว่า เมื่อมาตรการเดิมๆ ที่พยายามรณรงค์กันมาตลอด ไม่สามารถทำให้ผู้สูบบุหรี่ที่รู้ตัวดีว่ากำลังบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายเลิกสูบบุหรี่ได้ ก็น่าจะหาทางลดอันตรายให้กับคนเหล่านี้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ทดแทน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งหลายประเทศยอมรับว่าน่าจะเป็นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ วิธีนี้ก็น่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกัน ต้องออกมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่สูบบุหรี่หรือเด็กและเยาวชนหาซื้อสินค้าประเภทนี้ได้โดยง่าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี