ดูจะเป็นความเคยชินของสังคมไทยไปแล้วที่ “เมื่อมีข่าวคดีสะเทือนขวัญที่ผู้คนให้ความสนใจจำนวนมาก..เสียงเรียกร้องให้เพิ่มบทลงโทษหนักๆ ต่อผู้กระทำผิดมักจะตามมา” อาทิ ข่มขืนต้องประหารบ้าง ฆาตกรรมหรือทำร้ายร่างกายกลุ่มเปราะบาง (เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ)ต้องประหารบ้าง เมาแล้วขับรถชนคนตายต้องประหารบ้างฉ้อโกงที่มีมูลค่าความเสียหายสูงๆ ต้องประหารบ้าง หรือบางเรื่องไม่ถึงขั้นเรียกร้องโทษประหารแต่ดูแล้วอาจหนักกว่าเช่น ไม่จ่ายหนี้ กยศ. (กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา)ให้เพิกถอนสถานภาพพลเมืองบ้าง เป็นต้น
ล่าสุดกับข้อเสนอที่เป็นข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้คือ“ข่มขืนต้องฉีดให้ฝ่อ” หรือการใช้สารเคมีบางชนิดที่ทำให้ผู้ชายหมดอารมณ์ทางเพศ โดยด้านหนึ่งฝ่ายที่สนับสนุนก็หวังว่าผู้กระทำผิดจะไม่ไปก่อเหตุซ้ำอีก แต่อีกด้านหนึ่งก็มีมุมมองข้อกังวลจากแพทย์ อาทิ นพ.กัมปนาท พรยศไกร ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ตั้งข้อสังเกต 3 ประการ ไว้ให้พิจารณาก่อนตัดสินใจนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ดังนี้
1.คดีข่มขืนลดลงจริงหรือ? เพราะจากข้อมูลพบว่า “คดีข่มขืนลดลงได้เล็กน้อย..แต่ความรุนแรงของเหตุที่เกิดขึ้นจะหนักกว่าเดิม” เช่น ผู้ก่อเหตุจะพยายามฆ่าปิดปากเหยื่อเนื่องจากกลัวถูกจับในภายหลัง 2.แล้วถ้าเป็นแพะล่ะ? ซึ่งต้องบอกว่า “ระบบยุติธรรมในประเทศไทยยังเป็นที่คาใจในหลายๆ เรื่อง” หากคนที่ถูกดำเนินคดีกลายเป็นแพะขึ้นมา ตัดอวัยวะเพศไปแล้วมารู้ทีหลังว่าเป็นแพะ จะทำอย่างไร
และ 3.ใครจ่าย? ยกตัวอย่าง “ประเทศอังกฤษมีการถกเถียงกันเรื่องความคุ้มค่าที่จะต้องเอาภาษีปีละเป็นแสนบาท มาจ่ายค่ายากดฮอร์โมนให้ผู้ต้องหาหนึ่งคน”ในขณะที่คนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็ยังเบิกยาตัวนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งนี้ “ทางการแพทย์มีวิธีลดฮอร์โมนเพศชาย” เพื่อรักษาคนไข้มะเร็งต่อมลูกหมาก 2 วิธี คือ 1.ผ่าตัดเอาไข่ที่เป็นตัวผลิตฮอร์โมนออก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก ประหยัด กับ 2.ฉีดยากดฮอร์โมน ไม่ต้องผ่าตัด แต่ต้องฉีดยาทุก 3 เดือนตลอดชีวิต ค่ายาปีละนับแสนบาท
“หากการเพิ่มโทษให้รุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหาข่มขืนกระทำชำเรา แล้วทางออกอยู่ที่ใด?” เรื่องนี้อาจต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ทัศนคติความเชื่อบางอย่างซึ่งจากมุมมองของ จะเด็ด เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ให้ความเห็นว่า “เพศชายไม่เคยถูกสั่งสอนให้ต้องเก็บความรู้สึกทางเพศ ดังนั้นเมื่อมีความต้องการจึงแสดงออกได้อย่างเต็มที่” เช่น เมื่อเริ่มโตก็ถูกปลูกฝังว่าให้ไปเที่ยวสถานบริการ เมื่อมีแฟนหรือภรรยาก็มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รับการปลูกฝังเรื่องความยินยอมของผู้หญิง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น
เช่นเดียวกับผู้ที่ทำงานกับเยาวชน (และเป็นเพศชาย)ที่กระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นคดีความรุนแรงทางเพศหรือคดีทำร้ายร่างกาย ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ต้นตอของการก่อเหตุเหล่านี้มาจาก “ผู้ก่อเหตุคิดว่าตนเองสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้และมีอำนาจเหนือกว่าผู้ถูกกระทำ” นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนเป็นปัจจัยกระตุ้น
“ต้องเข้าใจคนที่เสนอให้ลงโทษอย่างรุนแรงว่าเขารู้สึกไม่มีทางเลือก เราต้องต่อสู้ทางความคิดกัน และต้องสื่อสารให้เห็นว่าการข่มขืนเป็นเรื่องอำนาจนิยม เพราะคุณจะไม่ทำสิ่งนี้กับคนที่มีอำนาจเหนือคุณ มาหนุนเสริมกับระบบอุปถัมภ์ ทำให้เราละเลยที่จะปกป้องคนที่อ่อนแอ เมื่ออำนาจนิยมมาเจอระบบอุปถัมภ์ก็หล่อเลี้ยงด้านมืดของมนุษย์เอาไว้จนแข็งแกร่ง เวลาจะออกกฎหมายต้องรู้ว่ารากเหง้าคืออะไร ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียงการทำตามเสียงเรียกร้องของคนที่ผิดหวังกับกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้นเอง”ผอ.บ้านกาญจนาฯ ระบุ
กับอีกส่วนหนึ่งคือ 2.การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มแข็ง ประเด็นนี้ องค์กรนิรโทษกรรมสากล (แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล-Amnesty International) ซึ่งเดินหน้ารณรงค์ “ยกเลิกโทษประหารชีวิต” ทั่วโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยสำหรับกรณีข้อเสนอให้ฉีดสารเคมีเพื่อให้ผู้กระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหมดความรู้สึกทางเพศนั้น ก็แสดงจุดยืนเช่นกันว่าไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า “สิ่งสำคัญอยู่ที่กระบวนการยุติธรรมต้องรวดเร็ว แม่นยำ โปร่งใสและเท่าเทียม” หรือก็คือการจับกุมผู้กระทำผิดตัวจริงโดยไม่ปล่อยให้ลอยนวล
“แม้ว่าการฉีดยาเพื่อให้หมดความรู้สึกทางเพศ อาจมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของรัฐบาลที่ใช้กฎหมายนี้ในการปราบปรามความรุนแรงทางเพศแต่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เชื่อว่า มันเป็นมาตรการที่ฉาบฉวยเพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการปฏิรูปด้านกฎหมายและนโยบายที่ซับซ้อนมากกว่านั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลต้องนำมาใช้เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศได้อย่างเป็นผลมากขึ้น” ข้อความตอนหนึ่งในถ้อยแถลงของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
อีกด้านหนึ่ง กรมราชทัณฑ์ มีเป้าหมาย “คืนคนดีสู่สังคม” ทัณฑสถานถูกคาดหวังว่าจะสามารถมีบทบาทในการกล่อมเกลาผู้กระทำผิดไม่ว่าคดีใดๆ เพื่อที่ผู้ที่ได้รับการแก้ไขฟื้นฟูแล้วจะมีความพร้อมในการกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่กระทำผิดซ้ำ และทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ แต่สิ่งที่ยังเป็นความท้าทายคือ “เมื่อพ้นโทษแล้วจะทำอย่างไรต่อไป” เนื่องจากประวัติอาชญากรรมยังติดตัวไปจนวันตาย และประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายระบุว่าหากไม่ทำผิดซ้ำในระยะเวลาหนึ่ง จะยกเอาเหตุเคยต้องโทษมาปฏิเสธไม่ให้ทำงานในอาชีพต่างๆ ไม่ได้
ดังจะเห็นว่าแม้ผู้ต้องโทษได้รับการฝึกอาชีพหรือได้เรียนหนังสือจนบางคนจบปริญญาตรีขณะอยู่ในเรือนจำแต่ทุกอย่างไร้ค่าเพราะเมื่อถูกปล่อยตัวออกมาไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ ไม่ว่าสาเหตุที่ทำให้ต้องถูกจองจำจะมาจากการกระทำผิดคดีใดก็ตาม ครั้นจะเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวก็ไม่มีทุน สุดท้ายเมื่อท้องหิวปนกับความรู้สึกถูกตีตราจากสังคม คนเหล่านี้จึงกลับไปกระทำผิดซ้ำและทำในระดับที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเพราะชินชากับการกระทำผิดแล้ว ความลังเลในใจย่อมลดลงเมื่อเทียบกับตอนที่ยังไม่เคยกระทำผิดมาก่อน
การแก้ปัญหาอาชญากรรมไม่ว่าความรุนแรงทางเพศหรือเรื่องอื่นๆ ไม่อาจเกิดขึ้นแต่เพียงคิดเอาง่ายๆ ว่าแค่เพิ่มโทษแรงๆ เข้าไว้แล้วทุกอย่างจะจบ หาไม่แล้วในสมัยโบราณที่บทลงโทษโหดร้ายทารุณกว่าปัจจุบันมาก คงไม่มีบันทึกเรื่องเล่าว่าด้วยโจรผู้ร้ายหรือฆาตกรก่อเหตุอุกฉกรรจ์ปรากฏให้เห็นบนหน้าประวัติศาสตร์อยู่เนืองๆ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี