ในกลางสัปดาห์นี้มีการเสนอข่าวและข้อมูลที่เปิดเผยโดยนักการเงินคนสำคัญของประเทศไทย ซึ่งเคยมีบทบาทอย่างสูงในวงการตลาดเงินและตลาดทุนเป็นอย่างดี และเป็นเรื่องใหญ่โตมาก จึงสมควรที่จะได้นำมาบอกกล่าวเล่าขานกันเพื่อจะได้ไม่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
การเสนอข่าวดังกล่าวนั้นโดยสรุปก็คือ การเตือนให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งระดับรัฐบาล ระดับผู้บริหารราชการประจำ ตลอดจนภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไปว่าให้ตั้งความระมัดระวังเพราะพายุหนี้กำลังจะมา
เนื้อหาของข่าวก็คือผลจากการบริหารจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิดได้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงขึ้นในบ้านเมือง ทั้งภาครัฐ ภาคเศรษฐกิจตลาดเงิน ตลาดทุน ตลอดจนผู้ประกอบการทุกภาคส่วนและประชาชนชาวไทยทั่วประเทศด้วย
ทำให้ประเทศมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เฉพาะวงเงินที่ต้องใช้จ่ายเท่าที่เป็นข่าวมาแล้วก็มีจำนวนมหาศาลเกือบเท่างบประมาณแผ่นดินทั้งปี ซึ่งบางส่วนเป็นงบกลางของงบประมาณปี 2562 รวมทั้งพระราชกำหนดเกี่ยวกับการใช้เงินในรูปแบบต่างๆ อีก 1.9 ล้านล้านบาทซึ่งต้องถือว่าเป็นการใช้เงินจำนวนมากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์
ซึ่งถ้าหากใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีลักษณะ “กู้มาโกง” ดังที่ถูกกล่าวหานินทากันอย่างกว้างขวางแล้วก็จะเป็นบุญของประเทศชาติและประชาชน แต่ถ้าหากเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็แน่นอนว่าหายนะใหญ่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง
นั่นเป็นเรื่องของการเอาเงินมาใช้จ่ายจากภาครัฐซึ่งถ้าเทียบกับผลกระทบและความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ยังถือว่าเป็นจำนวนน้อยอย่างเทียบกันไม่ติด โดยได้มีการระบุความเสียหายที่เกิดขึ้นในประการต่างๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนจำเป็นต้องให้ความสนใจและป้องกันแก้ไขไว้แต่เนิ่นๆ
ประการแรก มีการระบุว่าผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นทำให้กิจการต่างๆ ภาคเอกชนทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ตั้งแต่สายการบินระดับชาติ ธนาคาร กิจการขนาดใหญ่ที่มีหุ้นซื้อขายในตลาดหุ้น กิจการค้าข้ามชาติ กิจการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งของต่างชาติและของทุนใหญ่ในประเทศ รวมทั้งกิจการขนาดกลาง ขนาดย่อมหลายแสนกิจการได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง บ้างก็ต้องปิดกิจการ บ้างต้องหยุดกิจการ บ้างต้องเลิกจ้างพนักงาน บ้างต้องลดการผลิต บ้างก็ต้องขอพักการชำระหนี้หรือขอล้มละลาย และบ้างก็ฆ่าตัวตายเพราะไม่มีทางออก
แน่นอนว่าประการนี้เป็นผลโดยตรงจากการล็อกดาวน์โดยไม่มีการเตรียมแผนล่วงหน้า จึงทำให้เกิดความอลหม่านขึ้นในบ้านเมืองและเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างรุนแรง
ตรงกันข้ามกับตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศจีนก่อนที่จะมีการล็อกดาวน์ มีการสั่งการให้ทุกกิจการไม่ให้เลิกจ้างพนักงาน โดยรัฐชดเชยค่าจ้างและชดเชยผลขาดทุนให้ตามจำนวนที่กำหนด เช่น กิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงแข็งแรงก็อาจได้รับการชดเชยค่าจ้าง 10-20% ส่วนกิจการขนาดเล็กหรืออ่อนแอก็อาจได้รับการชดเชยเต็ม 100% หรืออย่างน้อยก็ 80%
ทำให้กิจการต่างๆ ไม่ต้องปิดตัว และคนงานทั่วประเทศก็ไม่ต้องตกงาน ไม่ต้องเกิดผลกระทบต่อเนื่องที่รัฐบาลจะต้องไปจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นรายบุคคล
แต่ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรานั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จึงเกิดการโกลาหลและเกิดปัญหาในการจ่ายเงินกันไม่จบสิ้นดังที่ทราบกันอยู่แล้ว
ประการที่สอง กิจการต่างๆ เมื่อต้องหยุดการผลิตก็ไม่มีรายได้ และเกิดผลขาดทุน ในขณะที่ภาระหนี้สินก็ยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จำนวนมากแห่งต้องปิดกิจการถาวร ในขณะที่หนี้สินโดยรวมก็เพิ่มมากขึ้น และมีการประมาณการว่าทั้งระบบนั้นมีทั้งหนี้สินและความเสียหายรวมกันถึง 16 ล้านล้านบาท
ประการที่สาม กิจการทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบและเสียหายไม่เคยได้รับการชดเชยหรือชดใช้ความเสียหายจากผลกระทบนั้น มีการช่วยเหลือบ้างเป็นเรื่องปลีกย่อย เช่น การลดค่าไฟ ค่าน้ำ หรือค่าโทรศัพท์ ซึ่งแทบไม่มีความหมายใดๆ ในการบริหารกิจการเลย โดยรวมก็คือกิจการทั้งหลายที่ต้องปิดหรือหยุดกิจการโดยทั่วไปยังไม่ได้รับการชดเชยชดใช้ความเสียหายจากรัฐ
ทั้งๆ ที่แม้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ได้รับผลกระทบและเสียหายก็สามารถขอรับการชดใช้ความเสียหายได้
และถ้ามีการออกมาตรการใดๆ ที่ไม่จำเป็น หรือที่ไม่เป็นธรรม หรือที่เลือกปฏิบัติ หรือโดยไม่สุจริต หรือไม่เกี่ยวกับเหตุอันต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็มีความรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินมาตรา 16 และ 17
ดังนั้นจึงต้องเตรียมการตั้งวงเงินเพื่อให้การช่วยเหลือชดใช้ความเสียหายดังกล่าวซึ่งเป็นคนละเรื่องกันกับการตั้งวงเงินช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง ซึ่งเป็นการก่อหนี้ใหม่เพิ่มเติมเท่านั้น และต้องคาดหมายให้ชัดเจนว่าหากสักวันหนึ่งบรรดาผู้ได้รับผลกระทบและเสียหายเรียกร้องให้รัฐชดใช้จะเป็นมูลค่าทั้งหมดเท่าใดกันแน่ และจะเสียหายเท่าใด รวมทั้งตัวผู้รับผิดชอบด้วย เพราะเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ
อย่าเข้าใจเอาเองว่าเมื่อประกาศใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว การกระทำทั้งหลายจะไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายที่ศาลทั้งหลายจะดำเนินคดีไม่ได้เพราะกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นแม้บัญญัติให้การกระทำทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครองก็จริง แต่ก็ยังอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมและศาลคดีอาญาทุจริตด้วย ที่จะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้
ประการที่สาม ในสถานการณ์ที่พื้นที่เกือบทั้งหมดของประเทศไทยไม่มีผู้ป่วยโควิด-19 และไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่ยังคงดำรงสถานการณ์ฉุกเฉินและ
ล็อกประเทศอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่กำหนดมาตรการปลดล็อกแบบครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวขวัญว่าจะเป็นเหตุของการเจ๊งรอบสองนั้น อาจจะซ้ำเติมความเสียหายให้มากขึ้น
เฉพาะภาระหนี้ 16 ล้านล้านบาท ที่จะโหมประดังเข้ามาในระยะจากนี้ไปจึงถูกเปรียบเทียบว่าเป็นพายุหนี้ใหญ่ที่จะเกิดความเสียหายร้ายแรงที่สุดของประเทศไทยต่อไป จึงต้องไม่ตั้งอยู่ในความประมาทโดยเด็ดขาด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี