บทความวันนี้ยังคงนับเนื่องอยู่ในชุด “จากเนรัญชราถึงอิสิปตนะ” เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา ในปีนี้ และเพื่อหวังอานิสงส์อานุภาพแห่งพระรัตนตรัยได้ปกป้องคุ้มครองพระราชอาณาจักรและอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้มีความสวัสดีจากสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย ในยามบ้านเมืองอยู่ในวิกฤติหลากหลายในขณะนี้
ในระหว่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสวยวิมุตติสุขอยู่ที่ร่มไม้ 7 ชนิด เป็นเวลา 49 วันนั้น เรื่องแรกที่ทรงกระทำคือทรงทบทวนพระธรรมที่ทรงตรัสรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อความสะดวกแก่ความทรงจำ ความเข้าใจ และเพื่อประโยชน์ในการประกาศพระธรรมนั้น หากจะทรงตัดสินใจประกาศพระธรรมแก่ชาวโลก
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตระหนักว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นเป็นของลึก เป็นของยาก มีความละเอียด ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าจำนวนมากก็ทรงเห็นเช่นนั้น จึงทรงตัดสินพระทัยไม่ประกาศพระธรรม ทรงเสวยวิมุตติสุขและทรงดำรงอยู่ในนิพพานธาตุของพระพุทธเจ้าจนตราบสิ้นอายุขัย จึงได้ชื่อว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ในวาระเดียวกันนั้นก็ทรงรำลึกว่าอดีตพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ในโพธิกาลก่อนๆ ก็ได้ตัดสินพระทัยประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นแก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก ไม่ทรงเก็บอริยทรัพย์ที่ทรงตรัสรู้นั้นไว้เฉพาะพระองค์ ทำให้พระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นเป็นทั้งประโยชน์แก่พระองค์เองด้วย เป็นทั้งประโยชน์สุขแก่ชาวโลกด้วย
และน้ำพระทัยแท้ของพระองค์ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงมีพระเมตตาคุณและพระมหากรุณาธิคุณแก่สัตว์ทั้งหลาย จนกระทั่งตัดสินพระทัยเสด็จจากร่มเศวตฉัตรแห่งกบิลพัสดุ์มาแสวงโมกขธรรม ครั้นทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงเห็นว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เวไนยสัตว์ก็ยิ่งมีน้ำพระทัยที่จะยอมยากลำบากพระองค์ต่อไปเพื่อประกาศพระธรรมนั้นแก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย
และทรงตรองเห็นว่ามนุษย์ทั้งหลายนั้นแตกต่างกันจำแนกได้เป็นสี่เหล่าดุจดังดอกบัว ที่บ้างก็พ้นน้ำแล้ว รอแสงอาทิตย์อุทัยมาก็จะบาน บ้างก็ปริ่มน้ำอยู่ ใกล้เวลาจะพ้นน้ำ บ้างก็อยู่กลางน้ำ พร้อมที่จะเติบโตขึ้นเหนือน้ำ และมีอยู่บ้างที่อยู่ใต้น้ำ ไม่มีโอกาสที่จะพ้นน้ำเพราะจะตกเป็นเหยื่อของเต่าปูปลาเสียก่อน ดังนั้น เวไนยสัตว์จำนวนมากถึงสามเหล่ามีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น มีเพียงน้อยนิดที่เป็นบัวใต้น้ำ ซึ่งเรียกว่าเป็นพวกปะทะปรมะบุคคล คือเป็นคนที่ว่านอนสอนไม่ได้ และเป็นบุคคลจำพวกที่ไม่สมควรจะเสียเวลาไปอบรมสั่งสอน เพราะไม่บังเกิดประโยชน์ใด มีแต่เสียเวลาเปล่า และรังแต่จะเป็นบ่อเกิดแห่งวิวาทด้วยซ้ำไป
ด้วยเหตุนี้จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นแก่เวไนยสัตว์สามเหล่า คือพวกบัวพ้นน้ำบัวปริ่มน้ำ และบัวกลางน้ำ
และหลักคิดชนิดนี้ก็ทรงใช้ในการมอบหมายภารกิจให้แก่พระสาวกในการประกาศพระศาสนาในเวลาต่อมา โดยทุกครั้งที่ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาก็จะทรงตรัสเป็นความอย่างเดียวกันว่า
“เธอทั้งหลายจงจาริกไปประกาศพรหมจรรย์แห่งธรรมวินัยนี้ให้ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ให้งดงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก”
และหลักคิดนี้ก็คือหลักประชาธิปไตยที่เป็นธรรมาธิปไตย และเป็นราชประเพณีให้แก่พระมหากษัตริย์ที่ทรงธรรมทั้งหลายในโลกที่จะปฏิญาณพระองค์ในการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
เมื่อทรงตัดสินพระทัยที่จะประกาศพระศาสนาแล้ว ก็ทรงเห็นว่าแผ่นดินชมพูทวีปนั้นมีมากแคว้น กว้างขวางใหญ่หลวงนัก ลำพังพระองค์เองหากจะประกาศพระศาสนาด้วยพระองค์เองทั้งหมดก็จะบังเกิดประโยชน์สุขแก่มหาชนไม่มากนักและจะเสียเวลามาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีธรรมขุนพลคือขุนพลที่ช่วยประกาศพระธรรม ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการประพฤติปฏิบัติธรรม และมีความคิดจิตใจเป็นสาธารณะ เป็นที่นับถือศรัทธาของมหาชนได้
ทั้งนี้เพราะบุคคลเช่นว่านี้ก็ประดุจดังบัวที่พ้นน้ำแล้ว รอแต่แสงแห่งพระสุริยันก็จะบานงดงาม ดังนั้น จึงทรงรำลึกถึงพระอาจารย์เก่าคืออาฬารดาบสและอุทกดาบสซึ่งมีภูมิธรรมแก่กล้า เป็นบัวที่พ้นน้ำแล้ว มาดแม้นได้รับแสงพระอาทิตย์จากการแสดงธรรมของพระองค์เพียงเล็กน้อยก็จะบรรลุพระธรรมอันยากและลึกได้
ในขณะนั้นก็ทรงน้อมใจถึงพระอาจารย์ทั้งสอง และทรงรู้ด้วยพระญาณอันประเสริฐแห่งพระพุทธเจ้าว่าพระอาจารย์ทั้งสองได้ละสังขารไปแล้ว ซึ่งตรงกับที่เมื่อครั้งที่ทรงอำลาจากพระอาจารย์และพระอาจารย์ก็ได้กระทำอัญชลีแก่พระองค์ด้วยการหยั่งรู้อนาคตว่าขอกระทำสักการะแก่พระองค์ก่อน เพราะจะไม่มีอายุได้เห็นถึงวันที่ทรงตรัสรู้แล้ว
พ้นจากพระอาจารย์ทั้งสองท่านคืออุทกดาบสและอาฬารดาบสแล้ว ก็ทรงคำนึงว่าปัญจวัคคีย์เป็นผู้มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะถึงซึ่งความหลุดพ้นและได้ประพฤติปฏิบัติตนอย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาช้านาน ทั้งได้ปรนนิบัติพระองค์มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเห็นว่าเมื่อพระองค์ยกเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยาก็จะไม่มีทางตรัสรู้ได้ จึงพากันหนีจากไป
ขณะนั้นยังไม่มีโทรศัพท์หรืออินเตอร์เนต และไม่ทรงมีสายสืบหรือหน่วยข่าวกรองที่จะทราบได้ว่าปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหน
ครั้นทรงเล็งเห็นว่าปัญจวัคคีย์นี่แหละเหมาะที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือในการประกาศพระธรรมเป็นชุดแรก และทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐว่าบัดนี้ปัญจวัคคีย์ได้พำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ดังนั้นเมื่อทรงเสวยวิมุตติสุขครบ 49 วันแล้ว จึงเสด็จพุทธดำเนินออกจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคม มุ่งไปยังแขวงเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นระยะทางอันไกลโพ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี