“คนอาบน้ำ ไม่กังวลกลิ่นตัว คนไม่คิดชั่ว ไม่ต้องกลัวการตรวจสอบ”
อยากจะฝากประโยคนี้ให้ถึง “นายสุชาติ ชมกลิ่น” สส.ชลบุรี และประธาน สส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ที่กล่าวถึงกรณีพรรคฝ่ายค้าน และพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้สภาตั้งกมธ.วิสามัญขึ้นมาตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ว่า ส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยกับการตั้งกมธ.วิสามัญฯดังกล่าว เพราะมีหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือพิจารณาและกลั่นกรองอยู่แล้ว อาทิ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง รวมทั้งในระดับพื้นที่จะต้องเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัด และ กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.)กลั่นกรองก่อนเสนอให้ครม.เป็นผู้อนุมัติโครงการตามที่เสนอมาเท่านั้น โดยนักการเมืองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง
ขณะที่สภาฯ ก็มีกมธ.สามัญฯ จำนวน 35 คณะ ซึ่งสามารถทำหน้าที่และสามารถตรวจสอบพ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ทั้ง 3 ฉบับ พวกเราที่เป็น สส. ทุกคน ทั้งฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล ในฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องมั่นใจในระบบราชการที่เข้ามาดูแลงบประมาณตัวนี้ จึงไม่จำเป็นต้องตั้งกมธ.วิสามัญฯ ให้ขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อน เสียเวลาการทำงานกับทุกฝ่าย และรวมทั้งเสียงบประมาณของแผ่นดิน เกี่ยวกับเบี้ยประชุมอีกด้วย
ในส่วนที่ฝ่ายค้านคิดและเป็นข้อกังวลในการใช้งบประมาณเกรงว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น หรือใช้งบประมาณไปไม่ตรงวัตถุประสงค์นั้น ท่านต้องอย่าลืมว่าประเทศไทยนั้นก็มีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และ คณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ร่วมตรวจสอบ ยิ่งโดยเฉพาะพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านบาทถือว่า มีกรอบดำเนินการที่รัดกุมโดยใช้กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะมาบังคับใช้ กำกับติดตาม การเบิกจ่ายเงินกู้ และต้องมีการประเมินโครงการต่างๆ นำเสนอต่อครม.ทุก 3 เดือน
“ส่วนการกำกับติดตามเงินกู้และผลสัมฤทธิ์ของโครงการ มาตรการต่างๆ เหล่านี้ ผมเชื่อและมั่นใจว่า ท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้นได้คิดและวางแผนมาตรการต่างๆ ในการบริหารจัดการไว้แล้ว” นายสุชาติกล่าว
ในเรื่องนี้ นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ที่ประชุม สส.พรรคประชาธิปัตย์ ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า ควรตั้ง กมธ.วิสามัญตรวจสอบการใช้งบประมาณ เนื่องจากงบประมาณเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณที่สูงมากและพรรคปชป.มีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้มาแล้วในปี 2542 รัฐบาล นายชวน หลีกภัย กู้เงินจากโครงการมิยาซาว่าแพลน 53,000 ล้านบาท แต่พรรค ปชป.เสนอตั้งกมธ.วิสามัญติดตามตรวจสอบเรื่องนี้เอง ถ้ารัฐบาลบริสุทธิ์ใจ อยากให้งบฯโปร่งใสจริงควรเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบ
“เราเชื่อมั่นในตัวนายกฯแต่รอบข้างนายกฯไม่สามารถไปการันตีได้ ดังนั้น นายกฯควรให้ กมธ.เข้าไปเป็นหูเป็นตาทำงานแทน และไม่เหมาะสมที่จะให้คณะกรรมาธิการสามัญ 35 คณะตรวจสอบการใช้งบประมาณ เพราะมีข้อจำกัดเรื่องบุคลากร กรรมาธิการสามัญประจำสภา ส่วนใหญ่เป็น สส.ไม่มีผู้เชี่ยวชาญมากพอในเรื่องนี้ แต่หากเป็นกมธ.วิสามัญสามารถใช้นักวิชาการ ตัวแทนภาคประชาสังคม หรือตัวแทนสื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เข้ามาเป็นกรรมาธิการได้ น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะให้ตั้ง กมธ.วิสามัญ ไม่น่าจะเกิดความเสียหายอะไร ดูเสียงตอบรับเชื่อว่า จะตั้ง กมธ.วิสามัญได้ ถ้าปฏิเสธก็ตอบคำถามสังคมได้ยาก”
ด้าน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ สส.นครศรีธรรมราช พรรคปชป.ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของ สส.ที่จะเสนอญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญตรวจสอบการใช้งบประมาณ ซึ่งที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการตรวจสอบอย่างโปร่งใส รวมถึงการตั้ง กมธ.วิสามัญ ซึ่งเท่าที่หารือกับประธานวิปรัฐบาลโดยเบื้องต้นแล้ว ฝ่ายรัฐบาลไม่ขัดข้องและไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ประโยคที่นายชินวรณ์บอกว่า “หารือกับประธานวิปรัฐบาลโดยเบื้องต้นแล้ว ฝ่ายรัฐบาลไม่ขัดข้องและไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” ไฉน นายสุชาติ ชมกลิ่น ถึงออกอาการ “มีปัญหา”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในเรื่องนี้ว่า“กลไกการตรวจสอบก็มีทุกตัว ไม่ว่าจะเป็น สตง. , ปปง. , ป.ป.ช.ก็มีทั้งหมด รวมถึงการติดตามจากคณะต่างๆ เยอะแยะไปหมดต้องไปดูว่าโครงการที่ออกไปแล้ว วันหน้าถ้าจะเสนอขึ้นมา มันต้องเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายบริหารงานจังหวัด และกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (กนจ.) ไม่ใช่ผมไปตั้งหน่วยงานเอง ต้องไปไล่ดูว่าข้างล่างดำเนินการกันอย่างไรขอให้ฝ่ายการเมืองต่างๆ อย่าไปยุ่งกับเขาก็แล้วกัน”
เมื่อถามว่า ไม่ต้องการให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาตรวจสอบงบประมาณใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ก็ไปว่ากันเอาเอง ผมไม่มีอะไร”
ลอยตัวออกจากปัญหาอีกตามเคย เรื่องแค่นี้ก็ตัดสินใจและส่งสัญญาณไม่ได้
นายกฯ พึงทราบว่า เรื่องการขอกู้เงินครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจเบื้องต้นจาก “คณะรัฐมนตรี” ซึ่งมีตัวท่านเองเป็น “หัวหน้าคณะ” มาทำเรื่อง “ขอกู้” ทุกคนเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็นว่าทำไมต้องกู้ แต่เมื่อกู้ เพื่อนำ “เงิน” มาใช้แก้ปัญหา เป็นเงินที่นอกเหนือจาก “งบประมาณปกติ” เป็นเงินที่ “มีภาระ” ต้องใช้คืนในอนาคต การใช้จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องนี้จึงจะบอกว่า “ไม่เกี่ยวกับผม” ได้หรือ?
นี่คือ “ผู้นำ” นี่เรียกว่า “ภาวะผู้นำ”
นี่หรือ คนที่กองเชียร์บอกว่า “ใจซื่อ มือสะอาด”
ก็อย่างที่เทพไทบอกนั่นแหละ “เราเชื่อมั่นในตัวนายกฯแต่รอบข้างนายกฯไม่สามารถไปการันตีได้ ดังนั้นนายกฯควรให้ กมธ.เข้าไปเป็นหูเป็นตาทำงานแทน”
นายกฯ คนนี้ชอบ “แยกตัวเอง” ออกไปจากนักการเมือง ลืมไปเลยว่า มีกระบวนการหลายอย่างที่ “อาศัยนักการเมือง” พวกนี้ เพื่อได้รับการ “เสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี” และเป็นผู้ตัดสินใจที่จะให้ใครเป็น “รัฐมนตรี”
นายกฯ ครับ ท่านคือ ผู้นำฝ่ายบริหาร” ของประเทศ ท่านคือคนที่พรรคพลังประชารัฐ “อุ้ม” แบบ “น้ำพึ่งเรือ เสือพึงป่า”มี “ประโยชน์ต่างตอบแทน” ซึ่งกันและกัน ท่านจะมาทำตัวราวกับว่า ฉันกับนักการเมืองไม่เกี่ยวกัน มีอะไรก็ให้นักการเมืองเขาไปคุยกัน เลิกเถอะครับ นิสัยแบบนี้ ท่าทีแบบนี้ ประชาชนเขาอยากให้ท่าน “เป็นหลัก” เพราะเขา “ไว้เนื้อเชื่อใจท่าน” ท่านก็หัดทำตัว “เป็นหลัก” ให้บ้างได้ไหม
อย่าลืมสิว่า ปลายเดือนพฤษภาคมเมื่อ 3 ปี ที่แล้วตอนที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีและ “หัวหน้า คสช.” ท่านเคยตั้งคำถามในรายการ “ศาสตร์พระราชา” ให้ประชาชนไปตอบคำถามของท่าน ลืมหรือยังล่ะว่า ถามคนไทยไว้ว่าอะไร มา! ผมจะเตือนความจำให้ท่าน
ท่านถามคนไทยว่า 1.ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2.หากไม่ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจะทำอย่างไร 3.การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง4.คิดว่ากลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีใด
ก็อยากถามท่านนายกฯ (ซึ่งก็คือคนเดียวกับนายกฯ คนที่ตั้งคำถามพวกนี้แหละ) ว่า ในสภาวะปกติ เราก็ใช้กลไกการตรวจสอบแบบปกติ คือ ป.ป.ช. คือ ปปง. คือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรมบัญชีกลาง กรรมาธิการสามัญ ฯลฯ ตรวจสอบ แต่ในภาวะที่มีการกู้เงินเพิ่มจากงบประมาณปกติ มีงานเพิ่มมาจากงานปกติ เราก็แค่ตั้ง “กรรมาธิการวิสามัญ” ขึ้นมาตรวจสอบ มันไม่ดีกว่าตรงไหนมันแสดงความไม่กังวล เปิดกว้าง และพร้อมรับการตรวจสอบทำให้ประชาชนสบายใจ หมดเงื่อนไขที่ฝ่ายอื่นๆ จะเอาไปปลุกปั่นว่า นี่ไง มันปิดกั้นการตรวจสอบอีกแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้ชัดไปเลยไม่ได้หรือ ว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีซึ่งนั่งหัวโต๊ะในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มีมติขอ “กู้เงิน” ครั้งนี้นั้น ทั้งในการกู้และการใช้เงิน ผมอยากให้ “สะอาด” ที่สุด ผมจึงขอให้มีการตรวจสอบที่ “มากกว่าปกติ” ซึ่งหากสภาเห็นชอบจะให้มีกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำ ผมจะสบายใจที่สุด
แค่นี้พูดไม่ได้หรือครับ ส่งสัญญาณแบบ“ไม่ลอยตัว” แต่เป็นสัญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความพร้อมที่จะ “รับผิดชอบ” ไม่ได้หรือครับ และสิ่งนี้แหละครับ ที่เรียกว่า “ธรรมาภิบาล”
ไหนท่านอยากเห็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง “มีธรรมาภิบาล” ไม่ใช่เหรอ ถึงเวลาที่ท่านต้องตอบคำถามของตัวท่านเองบ้างแล้วครับ ซึ่งไม่ชอบเพียงคำพูด แต่ต้องตอบด้วยการกระทำ เป็นการกระทำที่มุ่งมั่น ชัดเจน ไม่โยกโย้ โยนกลองไปที่คนอื่นซึ่งไม่ใช่วิสัย “ผู้นำที่กล้าหาญ”
และหาเวลาว่าง ตอบข้อ 4 ที่ท่านถามประชาชนด้วยนะครับ เพราะคนไทยเขารู้สึกกันมานานแล้วว่า รอบๆ ตัวท่านหรือในพรรคที่หนุนท่าน เต็มไปด้วยนักการเมืองแบบที่ท่านตั้งคำถามนั่นแหละ เอาง่ายๆ ในคณะรัฐมนตรีของท่าน คนอย่างร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นี่ ท่านว่ายังไงครับ? และประธานวิปรัฐบาลของท่านที่ชื่อ วิรัช รัตนเศรษฐ ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ทุจริตสนามฟุตซอล นี่ ท่านจะไม่ให้ออกจากการเป็นประธานวิป เหมือนสมัยท่านเอาผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกจากตำแหน่งไว้ก่อน เพียงแค่มีข้อกล่าวหาว่าทุจริตเท่านั้น “พล.อ.ประยุทธ์” คนนั้น เป็นคนเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ คนนี้ไหมครับ แถมตอนนี้ คนพูดกันหนาหูเหลือเกินว่า กลัว! กลัว ป.ป.ช.จะยื่นฟ้องคดีนายวิรัชไม่ทัน คนเขากลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตำรวจพัทยา ที่หา“แรมโบ้อีสาน” ไม่เจอ จนส่งฟ้องศาลไม่ทัน หลุดคดีเฉย แล้วมาเดินตามก้นท่านนายกฯ ด่าคนอื่น เถียงคนอื่น แทนท่านนายกฯ อยู่ในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา 15.30 น. ของวันที่ 30 พฤษภาคม2563 ที่อาคารรัฐสภา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ สส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายเทพไท เสนพงศ์, นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ แถลงขอยื่นเรื่องถึงประธานสภาฯ เพื่อขอให้ตั้งญัตติ เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินจากการกู้เงินตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
นายสาทิตย์ เปิดเผยว่า เงินกู้ดังกล่าวมีจำนวน 1 ล้านล้านบาทถึงแม้จะมีบัญชีแนบท้ายกำหนดกรอบไว้กว้างๆ แต่ไม่มีรายละเอียดของโครงการ อีกทั้งเมื่อได้รับฟังการชี้แจงของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว พบว่าเพราะเป็นภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นเร่งด่วน ต้องใช้จ่ายเงินด้วยความรวดเร็ว จึงมีเวลาในการนำเสนอโครงการและระยะเวลากลั่นกรองก่อนพิจารณาอนุมัติน้อย โดยเฉพาะใน 4 ข้อที่แนบท้าย ไม่มีรายละเอียดใดเลย จึงเป็นห่วงว่าการกู้เงินจำนวนมากขนาดนี้ อาจจะนำไปสู่ปัญหาการใช้จ่ายที่ไม่ตรงวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ไม่โปร่งใส มีการรั่วไหล
จะยิ่งเป็นการสร้างความเสียหายเสมือนเป็นการซ้ำเติมพี่น้องประชาชนคนไทยมากยิ่งขึ้น
“เพราะทราบว่า มีการเร่งรัดจัดทำนโยบายโดยให้กระทรวงมหาดไทยสั่งถึงทุกจังหวัดให้เร่งทำโครงการขอเบิกงบเงินกู้จำนวน 4 แสนล้าน จาก 1 ล้านล้านบาท ในพ.ร.ก.ฉบับแรก เนื่องจากยังมีเวลาจำกัดแค่ 30 วัน ที่จะเสนอเรื่องเข้ามาถึงส่วนกลาง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการฮั้วระหว่างผู้รับเหมา กับผู้มีอำนาจแต่ละจังหวัดจะเกิดขึ้นได้ง่าย แม้จะมีการชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้องว่าในงบ 4 แสนล้านนี้
อาจจะมีการให้เสนอโครงการมาเป็นรอบๆ โดยรอบหลังๆ จะให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมด้วย แต่ไม่มีรายละเอียดว่าภาคประชาสังคมที่อ้างนั้นเป็นใคร จากไหน ฝ่ายไหน และเสนออะไร เหตุนี้จึงขอให้มีการตั้งคณะกมธ.วิสามัญฯ เพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้และการใช้จ่ายที่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เกิดการจ้างงานประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างรายได้ จึงขอเสนอญัตตินี้ให้ตั้งกมธ.ชุดนี้ขึ้น ซึ่งในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เสียงส่วนใหญ่ของ สส.ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ และได้แจ้งต่อประธานวิปรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งเขาขอเวลาที่จะนำเรื่องนี้หารือกับผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐเพื่อให้คำตอบในวันที่ 31 พ.ค. จะมีท่าทีที่ชัดเจนขึ้น”นายสาทิตย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประธานวิปรัฐบาลและฝ่ายบริหารแสดงท่าทีไม่อยากให้ตั้ง กมธ.ชุดนี้ นายสาทิตย์กล่าวว่า เบื้องต้นมีการพูดคุยกันแล้ว การใช้เงินกู้จำนวนมหาศาล4 แสนล้าน หารแล้วเฉลี่ยได้จังหวัดละ 5 พันกว่าล้าน ถือว่าเป็นงบที่สูงมาก จำเป็นต้องมีการตรวจสอบและที่เสนอก็เมื่อจังหวัดต่างๆ ทำโครงการเข้ามาก็ต้องผ่าน กมธ.เพื่อช่วยตรวจสอบ เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ช่วยรัฐบาลในการทำงาน เรื่องนี้ยังมีเวลาคิดอีก 3-4 วันและส่วนตัวคิดว่าเขาคงจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในทันที คงไม่มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อสส.ผู้ขอเสนอญัตติมีสส.ประชาธิปัตย์ 6 คน นำโดยนายสาทิตย์วงศ์หนองเตย นายประกอบ รัตนพันธ์ นายเทพไท เสนพงศ์ นายชัยชนะ เดชเดโช นายอันวาร์ สาและ นายพนิต วิกิตเศรษฐ์และมี สส. สนับสนุนอีก 20 คน อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นางสาวพิมพ์รพีพันธุ์วิชาติกุล นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ และนางศรีสมรรัศมีฤกษ์เศรษฐ์ เป็นต้น
นายกฯ ครับ ประโยคที่ท่านบอกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผมฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ก็ไปว่ากันเอาเอง ผมไม่มีอะไร” ลบมันแล้วพูดใหม่ให้ดังที่สุด เท่าที่ชายชาติทหารจะพูดได้ว่า“ผมอยากให้ประชาชนทั้งประเทศสบายใจที่จะวางใจให้เราบริหารเงินกู้ก้อนนี้อย่างมีประสิทธิภาพและสุจริตที่สุด ดังนั้นผมอยากเห็นการตรวจสอบที่เข้มข้นที่สุด ตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาตรวจสอบพวกเราเถอะครับ เราพร้อมและยินดีรับการตรวจสอบในเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ”
รอฟังนะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี