ตลอด 6 ปีที่ผ่านมานี้ ผมเฝ้าดู พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 2 สมัย มาด้วยความรู้สึกทึ่ง โดยเฉพาะเมื่อ พลเอกประยุทธ์ ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งอำนาจได้อย่างมั่นคง ชนิดหามีอะไรมาสั่นคลอนได้ทั้งๆ ที่พูดกันตรงๆ แล้ว หลังจากการใช้กองทัพยึดอำนาจในครั้งนั้นแล้วพลเอกประยุทธ์ก็แทบไม่ได้แสดงความปราดเปรื่อง ความรอบรู้ ให้สังคมได้เห็นเลย การนำพาประเทศก็ไม่เจนในวิสัยทัศน์ ยิ่งเมื่อมีสถานการณ์วุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น ก็ไม่ได้ลงมือจัดการอะไรอย่างเป็นระบบสักครั้ง ทำเพียงออกมาพูดจากับสังคมแบบกระท่อนกระแท่น ไม่ปะติดปะต่อโดยเอาแต่พร่ำสอน พร่ำอบรมสังคมไปแบบงงๆ ก่อนจะตบท้ายด้วยการวิงวอนเรียกร้องให้เห็นอกเห็นใจ แล้วให้ร่วมกันทำความดีกันทุกครั้งไป
การบริหารบ้านเมืองประเทศไทยก็ดูไร้ทิศทาง คิดที ทำที เมื่อเรื่องราวมากองไว้ที่ตักก็ค่อยว่ากันเป็นเรื่องๆ ไป จนบัดนี้ถ้าถามพลเอกประยุทธ์ ว่ายืนกันอยู่ในสถานะอย่างไร จะนำพาประเทศไทยฟันฝ่าอุปสรรคไปทางไหนหรือจะแปลงศักยภาพใดๆ ของประเทศให้โดดเด่นเป็นจริงเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจแข่งกับชาวโลก ก็ยังไม่มีคำตอบ นั่นก็ทำให้ไม่มีใครสามารถคาดเดาเพื่อเตรียมตัวให้สอดคล้องกับทิศทางของรัฐได้ ประเทศไทยก็เลยล่องลอยลู่ตามลมไปตามธรรมชาติ ตามมรดกที่บรรพบุรุษสร้างและทิ้งไว้ให้มากกว่าจะมีการเสริมเติมด้วยสติปัญญา และฝีมือของผู้บริหารประเทศ
จริงอยู่ที่เมืองไทยน่าอยู่ คนไทยน่ารัก นอกจากนั้นคนไทยยังมีกินมีใช้ไม่ขาดแคลน แต่ความสุขต่างๆ เหล่านี้ที่โลกให้คะแนนและชื่นชมนั้นล้วนมาจากความโชคดีทางทรัพยากรธรรมชาติอันเนื่องมาจากภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศเป็นหลัก มิใช่ฝีมือของรัฐบาลไหนที่จะนำมาอ้างว่าเป็นผลงานได้
แม้กระทั่งเรื่องโรคระบาดโควิด-19 ถ้าไม่ใช่เพราะบุคลากรทางสาธารณสุขอย่าง คุณหมอ คุณพยาบาล หรือคุณบุคลากรสนับสนุนด้านการแพทย์ (ซึ่งต่างเป็นลูกศิษย์ลูกหาของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ไทยเราก็ไม่น่าจะรอดมาได้เช่นนี้ เพราะเมื่อไรที่ฝ่ายการเมือง ผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ ลงมาบริหารจัดการแก้ไขปัญหาในส่วนไหน ประชาชนได้เห็นความวุ่นวาย สับสน ไม่มีระเบียบระบบในส่วนนั้นทันที เรียกว่าปล่อยให้คุณหมอทำงานกันเองไปจะได้ผลดี และสะดวกกว่า เพราะรัฐบาลนั้นฝีมือบริหารไม่เอาไหน
นี่ยังไม่พูดรวมถึงนโยบายช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ชาวไทย ที่ลุ่มๆดอนๆ วันนี้พูดอย่างหนึ่ง แต่พอโดนสังคมก่นด่า อีกวันก็ออกมาแถลงว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เป็นการแถลงต่อสังคม สมควรได้มีการคิดวางแผนเลือกใช้ถ้อยคำมาเป็นอย่างดี เพื่ออธิบายนโยบายเป็นขั้นเป็นตอน สร้างความสับสนแก่สังคมให้น้อยที่สุด แต่ก็ด้วยความที่ไม่มีการลำดับความสำคัญ ไม่มีแผนงานที่แน่นอน และไม่ได้ใส่ใจในการแถลง เรื่องราวก็เลยวุ่นวายกันไปรายวันอย่างที่เห็น
นอกจากนั้น การที่คนรอบข้างพลเอกประยุทธ์ในยุคหลังการรัฐประหาร กลับแวดล้อมไปด้วยกลุ่มอำนาจนิยม กลุ่มผลประโยชน์ ก็ได้ส่งผลให้ประเด็นการลดความเหลื่อมล้ำต่างๆ ในสังคมล้มเหลวไม่เป็นท่า ถือว่าสอบตก เพราะในตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศนั้นยังมีผลให้เห็นว่าสัดส่วนดัชนีมวลประเทศนั้นล้วนมาจากคนเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยแย่ลงไม่พอ หากคนจนยังจนลงเรื่อยๆ ในขณะที่คนรวยรวยเอารวยเอา
ก็เกิดคำถามในใจว่า เมื่อฝีมือบริหารประเทศย่ำแย่ขนาดนี้ เหตุใดพลเอกประยุทธ์ จึงอยู่ได้มาตั้ง 6 ปี แถมยังไม่มีวี่แววว่าจะมีอะไรมาทำให้ลงจากหลังเสือได้?
เมื่อย้อนคิดวิเคราะห์กัน ก็คงต้องบอกว่า พลเอกประยุทธ์ แสนจะมีบุญ และแสนจะโชคดี เพราะมีแต้มต่อ หรือมีตัวช่วย ที่ผู้นำประเทศคนก่อนๆ ไม่มี ดังนี้
1. มีคนชื่อทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และธนาธร มารับบทเป็นตัวมารร้ายในสังคมไทย สร้างความปั่นป่วนให้กับชาวไทย ผู้คนบางส่วนก็จำใจเทคะแนนและเทใจให้พลเอกประยุทธ์ ที่เล่นบทพระเอกขี่ม้าขาว โดยสัญญว่าจะใช้อำนาจเพื่อความสงบเรียบร้อยในสังคม
2. สืบเนื่องจากข้อ 1 ฝ่ายมารร้ายแสดงออกอย่างชัดเจนในการเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันกษัตริย์ ในขณะที่ พลเอกประยุทธ์ อยู่ในฐานะนายกองก็เล่นบทผู้รักสถาบันฯ คนไทยที่เคารพบูชาสถาบันฯ ก็ไม่มีทางเลือกที่จะต้องดันหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ไปเรื่อยๆ
3. แรงกดดันจากประเทศประชาธิปไตยในประเทศยุโรป อเมริกา ต่อการสืบทอดอำนาจทหารในการเมืองไทยนั้นเบาบางลงไป เพราะเกรงว่าหากบีบบังคับไทยมากๆ ผู้ได้ประโยชน์ก็คือ จีน และรัสเซีย กลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมาไป
4. พรรคการเมืองต่างอดอยากปากแห้ง เพราะไม่ได้เข้าสภากันมา 5 ปีไม่ว่าพรรคเก่าพรรคใหม่ต่างยอมละทิ้งอุดมการณ์ ปิดหูปิดตากับความไม่ถูกต้องชอบธรรม ไม่สนใจ ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี’60 ก็เลยต่างกระโจนเข้าร่วมการเลือกตั้ง เพื่อเข้าร่วมการเสวยอำนาจบริหาร จนยอมเป็นฐานการเมืองให้กับพลเอกประยุทธ์
5. พลเอกประยุทธ์ และครอบครัว รักษาภาพของการเป็นครอบครัวเรียบง่าย จึงเสริมสร้างศรัทธา และความไว้เนื้อเชื่อใจ ให้แก่ฐานเสียงว่า น่าจะเป็นคนซื่อสัตย์ที่นำพาประเทศได้ จนมองข้ามประเด็นคนรอบข้างพลเอกประยุทธ์ ที่แวดล้อมไปด้วยโจรการเมืองและโจรเศรษฐกิจ
6. สื่อหลักๆ ที่เชียร์พลเอกประวิตร แบบสุดเหวี่ยง สุดใจ ต่างได้ประโยชน์ผ่านทางงบประชาสัมพันธ์ งบกิจการสังคมของทางการ แต่ก็มีบ้างที่ทำไปเพราะยังแฝงด้วยความกลัว ความเกลียด ระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์ที่เคยรุกไล่ตนมา
7. แวดวงธุรกิจระดับสูง เจ้าสัวต่างๆ ก็พร้อมจะหนุนหลังพลเอกประยุทธ์เต็มที่ ด้วยเห็นว่าพลเอกประยุทธ์เป็นป้อมปราการมิให้ระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์กลับมากินรวบ แถมจะนำเสนอนโยบายอะไรที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศ รัฐบาลนี้ก็พร้อมดำเนินการให้อย่างสม่ำเสมอ นอบน้อม (ล่าสุดจดหมายเปิดผนึกจาก พลเอกประยุทธ์ ถึงเจ้าสัว 20 ตระกูล ก็เป็นที่สลดใจ)
8. แวดวงข้าราชการประจำก็สนองนโยบายบริหารประเทศแนวข้าราชการนำพา ของ พลเอกประยุทธ์ ด้วยการกลับไปทำตัวใหญ่โตเหนือประชาชนเหมือนยุคขุนนาง ทำอะไรกันตามอำเภอใจไม่ต้องไปกลัวการตรวจสอบ เพราะถือว่าพวกเดียวกัน สีเดียวกัน ช่วยกันได้ แถมไม่ต้องคอยระแวงเป็นฝักเป็นฝ่ายตรงกันข้ามแบบก่อนหน้า ในวันนี้แค่มุ่งรับใช้เจ้านายคนเดียวพอ ได้ทั้งผลประโยชน์ ได้ทั้งตำแหน่ง จึงพึงพอใจที่จะหนุนพลเอกประยุทธ์เรื่อยๆ ไป
9. แวดวงวิชาการในระบอบ เมื่อต้อง “ออกนอกระบบ” ต่างก็ขาดความมั่นคง ทำทุกอย่างเพียงขอให้องค์กรอยู่รอดไปวันๆ หนึ่งก่อน ให้ตนเองมียศ มีตำแหน่งในสถาบันไปเรื่อยๆ เผื่อโชคดีจะมีราชรถมาเกย ได้ไปเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองกับเขา นักวิชาการวันนี้ก็เลยเลือกจะเงียบเสียง ไม่ค่อยออกมานำเสนออะไรให้หัวหน้ารัฐบาลขัดเคืองใจ
10. ด้านฝ่ายการเมืองอาชีพ ก็ไม่มีตัวโดดเด่นที่จะเป็นตัวเลือก ต้องพึ่งบารมี พลเอกประยุทธ์ แถมยัง “กัด” กันเองแบบไม่เลือก
รวมๆ ความแล้วตัวช่วยพลเอกประยุทธ์นั้นมากมาย ก็พอจะกะประเมินได้คร่าวๆ ว่า ตัวพลเอกประยุทธ์นั้นน่าจะมั่นใจในเสถียรภาพของตนเองไปอีกนานปี จึงไม่เห็นว่าจะต้องไปคิดและลงมือทำอะไรให้วุ่นวาย ประเทศไทยจะมีปัญหาอะไรถาโถมมา ก็แค่ตีกรรเชียงประคองตัวไปเรื่อยๆ ได้ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาท้าชิงตำแหน่งนายกฯ ไปได้
พลเอกประยุทธ์อยู่ยงคงกระพัน แต่ประเทศตกต่ำถดถอย ก็อยากสะกิดเตือนให้นึกถึงคำเปรียบเปรยที่ว่า ประชาชนนั้นเป็นดั่งน้ำ รัฐบาลนั้นเป็นดั่งเรือ น้ำพยุงให้เรือลอยได้ก็จริง หากวันใดเกิดพายุขึ้นมา น้ำก็จมเรือได้เช่นกัน ดังนั้น จะลงมือทำงานทำการให้ประเทศชาติไทยได้ก้าวหน้าให้สมกับตำแหน่งผู้นำประเทศเสียแต่วันนี้ หรือจะนั่งตีขิมไปวันๆ รอวันพายุมาก็คงแล้วแต่เจ้าตัวจะคิดอ่านตัดสินใจ
ทั้งนี้ก็หวังด้วยว่า พี่ใหญ่ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังรักดูแลน้องประยุทธ์อย่างไม่เสื่อมคลาย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี