ผ่านพ้นไปกับการพิจารณา ร่าง พ.ร.ก.กู้เงินในวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในสภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยร่าง พ.ร.ก. 3 ฉบับ ได้ผ่านการพิจารณาของสภาอย่างไม่ยากนัก แต่ที่น่าจับตามองคือการพิจารณางบ พ.ร.บ. โอนงบประมาณ 63 ที่มีการคาดการณ์ว่าจะได้รับความสนใจจากพรรคฝ่ายค้านด้วยเนื้อหาสาระที่พรรคฝ่ายค้านบางพรรคมีการออกมาพูดแล้วว่า การตัดงบประมาณในบางกระทรวงยังสามารถทำได้อีก และการพ.ร.บ.โอนงบนี้ไม่ได้ตั้งใจทำจริงๆ เพียงแต่ทำเพื่อเบนความสนใจทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งเป้าหมายที่น่าจะถูกโจมตีคงไม่พ้นงบประมาณกลาโหมที่มีการโจมตีมานานแล้วถึงเรื่องงบการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ที่มากกว่าการจัดหาเครื่องมือแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเรื่องนี้เมื่อถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้งในช่วงวิกฤติโควิด-19 ก็สร้างความน่าสนใจให้กับผู้ติดตามการเมืองไม่น้อยว่างบประมาณในด้านใดควรถูกยกให้มีความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่ากัน ซึ่งต้องติดตามในการประชุมสภานัดต่อไปว่าอนาคตของ พ.ร.บ. โอนงบประมาณฉบับนี้จะเป็นเช่นไร?
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าเรื่องพ.ร.บ. คือการประสานเสียงของพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ที่ออกมาแถลงนอกสภาว่าต้องการให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญในการตรวจสอบการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้1.9 ล้านล้านบาท เพื่อความโปร่งใสในการใช้เงินงบประมาณ เรื่องนี้ทำให้เห็นเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างนักการเมืองอาชีพ กับกลุ่ม สส. ใหม่ เพราะการเรียกร้องให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญในสภา เป็นการใช้เครื่องมือฝ่ายนิติบัญญัติที่ชัดเจนซึ่งที่ผ่านมาในช่วงหลังๆมานี้พบว่าน้อยครั้งนักที่จะมีคนเรียกร้องหาเครื่องมือกลไกจากฝ่ายนิติบัญญัติโดยเฉพาะในหลายเรื่องที่เป็นประเด็นอ่อนไหวนักการเมืองบางกลุ่มกลับผลักให้เรื่องนั้นออกจากกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญ การถอนตัวจากการประชุมสภา หรือแม้แต่การประท้วงบนท้องถนน ที่อาจจะมองว่าเป็นเรื่องการใช้เทคนิคทางการเมืองที่มีสิทธิทำได้
แต่ในทางกลับกัน การกระทำเช่นนั้นกลับเป็นการทำลายระบบการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่? การเรียกร้องให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณจากการกู้เงิน แสดงอีกนัยหนึ่งในฐานะการผนึกกำลังของพรรคร่วมส่งเสียงถึงพรรคพลังประชารัฐว่าแม้จะเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแต่ก็ต้องฟังเสียงพรรคร่วมด้วยว่าจะเดินทางใดต่อไป? การเรียกร้องให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญฯของพรรคร่วม ทำให้มีการตั้งคำถามของคนในสังคมว่าเป็นการแสดงความไม่พอใจของพรรคร่วมรัฐบาลจากการออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีการรวบอำนาจจากรัฐมนตรีหลายกระทรวงใหญ่หรือไม่? ซึ่งถ้าแนวคิดดังกล่าวเป็นจริง เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังต้องรับมือกับศึกพรรคร่วมอีกครั้งเพราะรอยร้าวที่เชื่อว่าสมานแล้วอาจไม่เรียบร้อยอย่างที่คิด ซึ่งรอยร้าวดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของพรรคร่วม ก่อนการปรับ ครม. จะเข้ามาถึง? ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนว่าสนามการเมืองในช่วงนี้จะมีรอยร้าวกันในทุกระดับทุกฝ่ายทั้งจากพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพลังประชารัฐ ที่กำลังมีการเขย่าเก้าอี้หัวหน้าพรรคซึ่งเชื่อว่าการเขย่าครั้งนี้อาจหมายรวมไปถึงเก้าอี้ในครม. ด้วยหรือไม่? เพราะตามกระแสข่าวแล้วพรรคพลังประชารัฐกำลังอาจมีการสู้กันระหว่างพี่ใหญ่อย่างพล.อ.ประวิตร และกลุ่ม 4 กุมาร ที่กุมอำนาจบริหารในพรรคพลังประชารัฐในปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งตามข่าวว่าสส.ศิระมีการเสนอให้พล.อ.ประวิตรนั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็มีกระแสกลับจาก 13 กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะลาออกหากหัวหน้าพรรคไม่ใช่นายอุตตม? ซึ่งต้องติดตามกันว่าจะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐหรือไม่? จะเป็นพี่ใหญ่อย่างพล.อ.ประวิตรมานั่งแทน หรือจะเป็นนายอุตตม-หัวหน้าพรรคคนเดิม หรือจะมีหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่อยู่นอกเหนือรายชื่อนี้หรือไม่?
อีกฝั่งหนึ่งอย่างพรรคเพื่อไทยก็มีกระแสข่าวว่ามีรอยร้าวในพรรค โดยแตกออกเป็น 3 ฝ่าย คือฝ่ายเพื่อไทยเดิม กลุ่มแคร์ และเพื่อไทยกลับใจที่มีข่าวว่าจะกลับไปจับมือร่วมรัฐบาล โดยมีกระแสข่าวว่าจะมีการแตกพรรคเพื่อไทยออกมา โดยกลุ่มแคร์ได้รับสัญญาณจากบิ๊กบอสให้ตั้งพรรคใหม่ได้? เพื่อรวบรวมขุนพลแตกทัพไทยรักไทยเดิมกลับมาสู้ศึกในรอบหน้า? แกนนำพรรคอย่างคุณหญิงสุดารัตน์จะเดินต่อทางไหนหลายคนรออยู่? ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะหันหลังกลับไปร่วมรัฐบาลจะสร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองมาก-น้อยเพียงใดต้องติดตามต่อไป
การเมืองในช่วงที่ใกล้การเกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรีใหม่ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรการเมืองไทยยังคงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ต่างตอบแทนมากกว่าอุดมการณ์เสียด้วยซ้ำหรือไม่? อย่างไรก็ตามเพื่อลดกระแสดังกล่าว นายกรัฐมนตรีก็ได้ออกมาประกาศไปแล้วว่าจะไม่ปรับครม.ในช่วงนี้ ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยคงต้องถึงช่วงสถานการณ์โควิดดีขึ้นในช่วงปลายปี รัฐบาลในสถานการณ์วิกฤติทำได้ดีในช่วงที่ผ่านมาแต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายของวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องที่เข้ามาเป็นเรื่องหลักที่ต้องจัดการ ความท้าทายต่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่หนักหนากว่าตลอด 5 ปี ของนายกประยุทธ์ที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลยังต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับพรรคร่วม การเมืองอาจไม่เหมือนยุค คสช. ที่ลุยหน้าได้แบบไม่ต้องห่วงข้างหลังใช้อำนาจบริหารได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นความท้าทายของรัฐบาลผสมในปัจจุบันที่จะประสานความร่วมมือให้การบริหารประเทศลุล่วงไปได้หรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นความหวังของประชาชนในการแก้ปัญหา และหวังว่าวิกฤติครั้งนี้จะผ่านพ้นไปได้โดยเร็ว...
“ถึงมาตรว่าจะมีอันตรายประการใดก็ดี ตัวเราก็จะสู้ตาย ซึ่งจะทรยศต่อผู้มีคุณนั้นเราทำมิได้”
เล่าปี่ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลังหน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี