นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำรงตำแหน่งครบวาระแรก ในวันที่ 30 ก.ย. 2563 และแจ้งความประสงค์ว่าจะไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคัดเลือกสำหรับดำรงตำแหน่งในวาระที่สอง
หากเป็นไปตามนั้น ก็นับว่าน่าเสียดาย
คนหนุ่ม ฝีมือดี ซื่อสัตย์สุจริต กล้าคิดกล้าทำ
1. นายวิรไทเคยให้มุมมองต่อการแก้ปัญหาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 น่าสนใจ
ระบุว่า ครั้งนี้ไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจ แต่เป็นวิกฤติที่เกิดจากทางด้านสาธารณสุข และมีผลกว้างไกลมากไปทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย “มาตรการทางการคลัง” ต้องเป็นพระเอก เพราะวิกฤติรอบนี้ทำให้รายได้คนหาย ต้องเติมรายได้เข้าไป ขณะที่มาตรการทางการเงินเป็นมาตรการเสริมมาตรการที่ประคอง
รัฐบาลได้มีการออก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งมีการจัดสรรเงิน 6 แสนล้าน สำหรับการเยียวยาประชาชนไปแล้ว และเงินกู้อีก 4 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งในกับเศรษฐกิจชุมชน ที่ต้องทำให้แอ๊กทีฟจ่ายได้เร็ว ยกตัวอย่างสิ่งสำคัญตอนนี้ อยากเห็นการจ้างงานเป็น “ล้านตำแหน่ง” เพราะมีคนตกงานเยอะ รัฐบาลต้องเร่งทำเรื่องการจ้างงาน ถ้าให้คิดแบบเร็วๆ ก็สามารถทำได้ในลักษณะเกาะภูมิสังคมต่างจังหวัด อาทิ การหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมสำหรับหมู่บ้าน 1 ตำแหน่ง ก็สามารถจ้างงานได้ 7 หมื่นตำแหน่งทั่วประเทศ เช่น อาสาสมัครเพื่อดูแลผู้สูงอายุประจำหมู่บ้านยังไงก็ขาด หรือในส่วนของการพัฒนา “กองทุนหมู่บ้าน” จ้างงานเด็กอาชีวะจบใหม่ ทำเรื่องระบบบัญชี ทำระบบคอมพิวเตอร์กองทุนหมู่บ้านให้ดีทั่วประเทศก็ได้อีก 7 หมื่นตำแหน่ง
“มีอีกเยอะเลยที่จะสามารถสร้างตำแหน่งงานได้พร้อมกันจำนวนมาก อย่างโรงพยาบาลตำบล โรงพยาบาลสุขภาพตำบล ก็ต้องการคนไปช่วยเรื่องทำระบบฐานข้อมูล ถ้าทำระดับตำบลก็จะมีการจ้างงานทั่วประเทศทันที 8,000 ตำแหน่ง ถ้าทำระดับหมู่บ้านก็ได้ 7 หมื่นตำแหน่ง แม้แต่เรื่องข้อเกษตร การทำสำมะโนระดับท้องถิ่นก็จะช่วยได้ เพราะฐานข้อมูลระดับท้องถิ่นของประเทศไทยยังขาดมาก หรืออินเตอร์เนตหมู่บ้าน 5G กำลังจะมา ถามว่าใครจะไปเป็นที่ปรึกษาทางด้านดิจิทัลระดับหมู่บ้านที่ทำให้คนสามารถมาใช้พวกนี้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่ก็ได้อีก 7 หมื่นตำแหน่ง เพราะวิกฤติครั้งนี้ทำให้เกิดการว่างงาน ก็ต้องมีการปรับทักษะของประชากร”
นับเป็นข้อเสนอแนะที่รัฐบาล ในฐานะผู้กำหนดนโยบายทางการคลังพึงรับฟัง
2. บทบาทของผู้ว่าการฯ วิรไท ยังได้เข้าไปชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎร ประเด็น พ.ร.ก. 2 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ท่ามกลางการโจมตีอย่างสาดเสียเทเสียของนักการเมืองฝ่ายค้าน
ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ยืนชี้แจงได้อย่างเห็นภาพ แจ่มชัด เข้าใจง่าย ไม่ขัดเขิน
ยกตัวอย่าง ใน ประเด็น พ.ร.ก. กองทุน BSF
“พ.ร.ก. กองทุน BSF ไม่ได้เป็นการกู้เงิน ไม่ได้เป็นการสร้างหนี้สาธารณะให้กับรัฐบาล เพราะกองทุนไปลงทุนในตราสารหนี้ก็จะได้เงินคืน ไม่เป็นภาระภาษีในอนาคต หลัง มี พ.ร.ก. กองทุน BSF ทำให้ตลาดตราสารหนี้เอกชน มีความมั่นใจมากขึ้น และมาตรการนี้เป็นมาตรการที่ธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินการไม่ใช่แต่ ธปท. ของไทยทำเท่านั้น”
ผู้ว่าการแบงก์ชาติ วิรไท แจกแจงรายละเอียดว่า
“...ขอชี้แจงเกี่ยวกับที่สมาชิกสภาได้อภิปรายเกี่ยวกับ พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า พ.ร.ก.กองทุนตราสารหนี้เอกชน (พ.ร.ก. กองทุน BSF) ทำให้คนคิดว่าเป็นกองทุนนี้ตั้งขึ้นเพื่อไปช่วยผู้ออกตราสารหนี้
สำหรับวัตถุประสงค์ของการออก พ.ร.ก.นี้ ที่สำคัญที่สุด คือ การรักษาเสถียรภาพการเงิน เพราะหากเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องขึ้นในตลาดการเงินโดยเฉพาะในตลาดการเงินขนาดใหญ่ คือ ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ก็จะลุกลามไปสร้างปัญหาระบบการเงินโดยรวมได้
ในโลกการเงินปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกันสูงมาก ปัญหาที่อยู่ในตลาดการเงินแห่งหนึ่งสามารถที่จะลามไประบบการเงินทั้งระบบได้ เรื่องสภาพคล่องเป็นเรื่องสำคัญมากตัวอย่างที่เห็นดีคือ ธนาคารพาณิชย์ ถ้าเมื่อไรก็ตามธนาคารพาณิชย์จะให้ดีแค่ไหน ถ้าประชาชนไปถอนเงินพร้อมๆ กัน ก็จะทำให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องได้ จึงเป็นที่มาที่ต้องมีกลไกค้ำประกันเงินฝาก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
สาเหตุที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องมาคิดมาตรการดูแลตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน เพราะมี 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
เหตุการณ์แรก ย้อนกลับไปเดือนมี.ค. 2563 เป็นช่วงเวลาที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19ในประเทศไทยอยู่ระดับสูงมากกว่าวันละ 180 คน มีการประมาณการกันว่าถ้าเราควบคุมไม่ได้อาจจะมีผู้ติดเชื้อในประเทศถึง 1 แสนคน สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกก็รุนแรงมากขึ้นมีการลามไปทวีปยุโรปและอเมริกา ทำให้ราคาตราสารหนี้และตลาดทุนทั่วโลกตกอย่างรุนแรง ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกก็ขาดสภาพคล่อง
กรณีของประเทศไทย เหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมี.ค. คือ มีการไถ่ถอนกองทุนรวมตราสารหนี้อย่างรวดเร็ว จนทำให้กองทุนรวมตราสารหนี้บางส่วนขาดสภาพคล่อง ซึ่งกองทุนตราสารหนี้รวมมีขนาดใหญ่ 1.8 ล้านล้านบาท โดยปกติทุกเดือนจะมีเงินใหม่ไหลเข้ามาลงทุน แต่ในช่วงเดือนมี.ค. เดือนเดียว มีเงินที่ถูกไถ่ถอนจากกองทุนรวมตราสารหนี้ 3 แสนล้านบาท เพราะผู้ลงทุนไม่ทราบว่าสถานการณ์โควิด-19 จะจบอย่างไรและมีผลรายได้กับเขาอย่างไร บริษัทที่เคยลงทุนก็ไถ่ถอนเงินออกและถือเงินสด
กองทุนรวมที่เคยลงทุนระยะยาวในตราสารหนี้ภาคเอกชน ก็มีความกังวล เช่น กองทุนประกันสังคม ก็ต้องมีการรักษาเงินสดเพราะมีภาระต้องไปเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งเมื่อก่อน กองทุนประกันสังคมก็เป็นผู้ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนต่อเนื่อง
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกองทุนรวมตราสารหนี้ ทำให้ ธปท. ได้ออกเครื่องมือชุดหนึ่งเป็นกลไกพิเศษดูแลสภาพคล่องของกองทุนรวมตราสารหนี้ ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ ให้ธนาคารพาณิชย์ไปซื้อหน่วยลงทุนกองทุนตราสารหนี้ ก็สามารถมาขอสภาพคล่องจาก ธปท. ได้ มาตรการนี้ทำให้ตลาดกองทุนรวมตราสารหนี้นิ่งขึ้นเป็นปกติมากขึ้น แต่ก็มีกองทุนรวมตราสารหนี้ถึง 4 กองทุน ที่ต้องปิดไปมีเงินที่ติดค้างในกองทุน 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ภาคธุรกิจหวังว่าจะมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสภาพคล่องชั่วคราว ประชาชนที่ลงทุนไว้ก็ไม่ได้รับเงินคืนในเวลารวดเร็ว ต้องรอเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีของกองทุน ซึ่งส่งผลกระทบกับสภาพคล่องของเศรษฐกิจในภาวะที่ทุกคนกังวลและต้องการถือเงินสด
เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าเรื่องของตลาดตราสารหนี้ เป็นเรื่องสำคัญ และหากไม่สามารถดูแลได้ จะลามไปสู่ตราสารการเงินอื่นๆ หรือระบบการเงินโดยรวมได้
... สำหรับขนาดตราสารหนี้ภาคเอกชน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมาไม่มีการพูดเรื่องตราสารหนี้มากเท่าไร ในวิกฤติต้มยำกุ้ง มีการพึ่งพาระบบธนาคารพาณิชย์เป็นหลักมากเกินไป เมื่อระบบธนาคารพาณิชย์มีปัญหาระบบเศรษฐกิจก็มีปัญหา
เมื่อดูในปี 2543 ตราสารหนี้ภาคเอกชนมียอดคงค้าง 5 แสนล้านบาท เป็น12% ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเรามุ่งพัฒนาตลาดตราสารหนี้เอกชนให้เป็นอีกทางเลือกเป็นอีกเสาหลักทางการเงิน ทำให้ในช่วง 10 ปีหลัง ตราสารหนี้เอกชนขยายตัวเร็วมาก
จาก 1.2 ล้านล้านบาท เป็น 3.8 ล้านล้านบาท
หรือคิดเป็นเกือบ 30% ของยอดสินเชื่อธนาคารพาณิชย์
เวลาพูดถึงมาตรการของ ธปท. จะได้รับการวิจารณ์ว่า มีเจตนาไปช่วยเหลือเจ้าสัวหรือเปล่า ไปช่วยผู้ออกตราสารหนี้ขนาดใหญ่หรือเปล่า ซึ่งเขาร่ำรวยอยู่แล้วควรระดมทุนได้เอง ซึ่งเวลาที่ ธปท. มองเรื่องเสถียรภาพการเงิน จะให้ความสำคัญผู้ลงทุนหรือผู้ออม มากกว่าผู้ออกตราสาร เพราะถ้าประชาชน หรือ ผู้ออมขาดความมั่นใจก็จะส่งผลกระทบไปสู่ตลาดการเงินอื่นๆ ได้ หรือ เรียกง่ายๆ ว่า ไฟจะลามทุ่ง ซึ่ง ธปท. ต้องการรักษาเสถียรภาพมูลค่าการออมของคนไทยไม่ได้ให้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดสภาพคล่องชั่วคราว
อย่างที่ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ได้ชี้แจงกับสภาว่า ตราสารหนี้เอกชน 3.8 ล้านล้านบาท มีประชาชนลงทุนโดยตรง 28% มีประชาชนลงทุนทางอ้อมทั้งรู้ตัวไม่รู้ตัวอีก 55% สหกรณ์ออมทรัพย์อีก 9% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก 9% ทำให้ประมาณ 83% ของตราสารหนี้ถือโดยประชาชน จึงเป็นที่มา พ.ร.ก. เพื่อดูแลเสถียรภาพของตราสารหนี้ภาคเอกชน
การออก พ.ร.ก. กองทุน BSF เป็นมาตรการเชิงป้องกัน เป็นการทำล่วงหน้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้ง และแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีมาตรการเชิงป้องกัน ดีกว่าที่จะปล่อยให้มีปัญหาและไปตามแก้ทีหลัง
หากปล่อยให้ตลาดเงินมีปัญหา ตลาดการเงินมีปัญหา และไปตามแก้ไขทีหลัง ต้นทุนจะสูงกว่ามากกับทุกคน ต้นทุนของรัฐบาลสูงกว่ามาก ต้นทุนผู้ประกอบการสูงกว่ามาก ต้นทุนของประชาชนที่เป็นผู้ออมกว่าสูงกว่ามาก ดังนั้นการออกมาตรการไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
ทั้งนี้ ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนมีขนาดใหญ่ มาตรการก็ต้องมีขนาดใหญ่พอกับขนาดของตลาด เตรียมไว้พร้อมใช้ได้อย่างรวดเร็ว ต้องมีกลไกที่ดี และนี่เป็นแหล่งเงินทุนสำรองที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนไม่เกิน 270 วัน และมีธรรมาภิบาลโปร่งใสมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ใน พ.ร.ก. กองทุน BSF ไม่ได้เขียนรายละเอียดไว้ แต่ในกฎหมายลูก เป็นประกาศคณะกรรมการกำกับกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว มีกรอบการลงทุน และการบริหารกองทุน การบริหารความเสี่ยง...”
เป็นที่น่าดีใจที่ประเทศไทย ยังมีคนเก่ง เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต ได้ช่วยงานบ้านเมืองในยามวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้
เป็นที่น่าเสียดาย หากจะทำหน้าที่แค่สมัยเดียวเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี