เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในอดีต มักถูกจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองนั้นๆ โดยลำดับ ซึ่งในข้อเท็จจริงของแต่ละเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือร้าย จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ ก็ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงได้ ทำได้เพียงใช้เหตุการณ์นั้น เพื่อเป็นบทเรียน เป็นการบ้านที่ให้ข้อคิดแก่อนุชนรุ่นหลัง
ในด้านการเมือง การปกครองแล้ว ทุกๆ ประเทศต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อาจช้าเร็วไม่เท่ากัน แต่มักอยู่ในยุคสมัยที่ไม่ต่างกันมากนัก ที่กล่าวได้ว่าเป็น
เทรนด์ของประวัติศาสตร์ร่วมสมัยก็คือ การเปลี่ยนระบอบการปกครองที่องค์พระมหากษัตริย์เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ไปสู่ระบอบที่องค์พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายบางประเทศก็เปลี่ยนแปลงด้วยสันติวิธี (มีการเจรจาต่อรองกันระหว่างฝ่ายต่างๆ แล้วก็สามารถที่จะหาข้อยุติร่วมกันได้)แต่ในหลายๆ ประเทศกลับเต็มไปด้วยความรุนแรง เช่นที่ประเทศฝรั่งเศส และประเทศรัสเซีย ที่เกิดการปฏิวัติสังคม ซึ่งส่งผลให้เกิดการทำลายชีวิต และทรัพย์สิน ไปเป็นอย่างมากมาย กินเวลาหลายปีกว่าจะเริ่มลงตัว
กรณีของรัสเซีย การปฏิวัติสังคมที่โค่นล้มราชวงศ์ซาร์ได้นำไปสู่การเข่นฆ่ากันตายของประชาชนชาวรัสเซียหลายสิบล้านคน โดยการปฏิวัติครั้งนั้นกลับไม่ได้นำมาซึ่งสิทธิและเสรีภาพประชาชนอย่างแท้จริง ผลลัพธ์มีเพียงการเกิดขึ้นของระบอบที่กดขี่ข่มเหงประชาชนชาวรัสเซียด้วยกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน และแม้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกหลายหน สังคมรัสเซียวันนี้ ก็ยังคงอยู่ภายใต้เงาของอำนาจอันทรงอิทธิพลของประธานาธิบดีปูติน
ส่วนฝรั่งเศสนั้น แม้จะมีการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงไปแล้วพักหนึ่ง สุดท้ายก็วนเวียนกลับมาที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกหน โดยการขึ้นเถลิงอำนาจ และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิของจอมทัพชื่อว่า นโปเลียน โบนาปาร์ต ผู้ซึ่งนำฝรั่งเศสเข้าสู่สงครามใหญ่กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยกว่าที่สันติภาพจะกลับคืนสู่สังคมฝรั่งเศส ก็ใช้เวลาเป็นปีๆ และกว่าที่ฝรั่งเศสจะได้เป็นประเทศประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ ก็ต้องรอกันจนถึงยุคสมัยของ นายพล เดอ โกล เมื่อ ค.ศ. 1959
ในกรณีของฝรั่งเศสได้สะท้อนให้เห็นว่า การปฏิวัติสังคมใดๆ จำเป็นต้องใช้เวลา ซึ่งจะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ ของสังคมนั้นๆ โดยปัจจัยที่สำคัญสุด ก็คือ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้ที่มีความคิดที่แตกต่างกันนั้น จะต้องสามารถก้าวผ่านจุดที่สามารถจะปรองดอง และสมานฉันท์กันได้ สันติภาพ และสันติสุขจึงจะบังเกิดขึ้นในสังคมนั้นได้
ส่วนในกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองครั้งใหญ่ของสังคมไทยนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งถือเป็นวันสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และก้าวไปสู่ระบอบที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยผู้ที่ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประกาศว่ามีเป้าหมายที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ซึ่งแม้จะเป็นการใช้กำลังทหารเข้ามาบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่ได้มีการนองเลือด ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการบังคับใช้กฎเหล็กต่อสังคม เนื่องจากได้มีการเจรจาปรึกษาหารือกันในหลายหมู่เหล่าในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยประเด็นที่สำคัญๆ ก็คือ ประเทศไทยยังคงสถานะความเป็นราชอาณาจักรเอาไว้ ซึ่งพระมหากษัตริย์ยังทรงดำรงตนเป็นองค์ประมุขของประเทศ ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธี ซึ่งหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะองค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงสถานะเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นการถ่วงดุล และคานอำนาจกับฝ่ายคณะราษฎรผู้ทำการปฏิวัติ
การปฏิวัติสังคมของไทยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475นั้นเป็นการกระทำโดยกลุ่มคนเพียง 200 คน โดยประมาณ ซึ่งคุมกำลังทหารตำรวจ และพลเมืองไว้ในมือจำนวนหนึ่ง โดยประชาชนชาวไทยเกือบ 100% ไม่ได้มีส่วนได้รู้ได้เห็นไม่ได้มีส่วนร่วมใดเลยทั้งสิ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากความคิดของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ที่อยากจะให้ประเทศมีความทันสมัย มีความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนมีส่วนร่วมในความเป็นไปของประเทศ
แต่ทว่าเวลาได้ผ่านมาถึง 88 ปีแล้ว ความประสงค์ของคณะราษฎร ที่ต้องการให้สังคมไทยเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ก็ยังคงล้มลุกคลุกคลานด้วยเหตุผลหลายๆ ประการด้วยกัน โดยส่วนหนึ่งก็มาจากช่วง 25 ปีแรก ภายใต้การบริหาประเทศโดยคนจากคณะราษฎร ที่น่าจะเป็นช่วงสำคัญในการวางรากฐานประชาธิปไตยให้สังคมไทย แต่
1. คณะราษฎรจำนวน 200 คน (โดยเฉพาะแกนนำแท้ๆ ประมาณ 10 คน) ได้เกิดการขัดแย้งทางความคิดและชิงดีชิงเด่นกันเอง โดยเฉพาะในเรื่องการกำหนดทิศทาง และการวางโครงสร้างของประเทศ จนไม่สามารถที่จะหาข้อยุติได้ว่า จะสร้างชาติไทยอย่างไร ด้วยวิธีการอย่างไรจะมีนโยบายสังคมอย่างนโยบายเศรษฐกิจอย่างไร จะมีการจัดระบบการปกครองบริหารราชการประเทศอย่างไรเป็นต้น
2. สืบเนื่องจากความเห็นต่างและการแย่งชิงอำนาจกันเองในคณะราษฎรดังกล่าว ส่งผลให้ไม่มีเวลาไปจัดการส่งเสริมให้มีการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และทักษะของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งการเสริมสร้างพลเมืองนั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในช่วงเริ่มต้นของสังคมประชาธิปไตย แต่การนี้มิได้เกิดขึ้นและยังเป็นปัญหาอยู่จนทุกวันนี้
(อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้)
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี